วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพลงน่าฟัง: Pretend

ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเดือนของการทำงานที่หนักมากสำหรับผม ความกดดัน และความคาดหวังจากคนรอบข้างสร้างความเครียดให้กับผมอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่ามีผลกับสุขภาพของผมโดยตรง ผมเกือบต้องนอนโรงพยาบาล แต่ก็ผ่านมาได้เพราะได้ฟังเพลงที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ครับ

วันหนึ่งหลังจากเลิกงาน เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากงาน ผมใส่หูฟัง เดินไปฟังเพลงไป เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า หูก็ฟังเพลง สมองก็ครุ่นคิดเรื่องงาน ขณะกำลังหมกมุ่นคิดเรื่องงานจนซึมเศร้าอยู่นั้น เพลงนี้ก็เล่นขึ้นมา (ปกติ ผมจะให้เครื่องเลือกสุ่มเล่นเพลงเอง) พอได้ฟังเพลงนี้แล้ว ผมก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น

เพลงของมันสะกิดเตือนให้ผมได้คิด ว่าความเครียด ความซวย ความเศร้านั้น เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่มีใครหนีพ้น ดังนั้นเมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้วก็จง(ทำใจ) เสแสร้งว่ามีความสุขซะ แล้วความสุขมันก็จะก่อตัวขึ้นมาในใจเราเอง

ขอบคุณคนแต่งและคนร้องเพลงนี้ ที่ในขณะที่ฟังอยู่ เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเพื่อนเรากำลังมานั่งร้องเพลงให้ข้อคิดและปลอบโยนเราอยู่  ฟังแล้วอบอุ่นใจดีครับ

ลิ้งค์ของเพลง และเนื้อเพลงอยู่ด้านล่างนี้ครับ ขอฝากทุกท่านด้วยประโยคเด็ดนะครับ

“Pretend you’re happy when you’re blue

It isn’t very hard to do

And you’ll find happiness without an end

Whenever you pretend”


http://www.kovideo.net/pretend-lyrics-don-williams-300883.html

Pretend


Don Williams
Frank Lavere / Cliff Parman / Lew Douglas
Album: Borrowed Tales


Pretend you’re happy when you’re blue
It isn’t very hard to do
And you’ll find happiness without an end
Whenever you pretend

Remember anyone can dream
And nothing’s bad as it may seem
The little things you haven’t got could be a lot
If you pretend

You’ll find a love you can share
One you can call all your own
Just close your eyes she’ll be there
You’ll never be alone

And if you sing this melody
You’ll be pretending just like me
The world is mine it can be yours my friend
So why don’t you pretend

You’ll find a love you can share
One you can call all your own
Just close your eyes she’ll be there
You’ll never be alone

And if you sing this melody
You’ll be pretending just like me
The world is mine it can be yours my friend
So why don’t you pretend

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Off the Hook

เมื่อวานหลายท่านคงได้ยินข่าวพรรคการเมืองหนึ่งรอดพ้นจากการถูกยุบพรรค  วันนี้ผมก็เลยได้สำนวนสำนวนหนึ่งมาเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง

เริ่มจากศัพท์ในสำนวนก่อนนะครับ  Hook ก็คือ เบ็ดตกปลานั่นเอง  สำนวน Off the Hook นี้ พื้นฐานเค้าเอามาจากการตกปลาครับ ซึ่งหมายถึง เมื่อปลากินเหยื่อ (ที่เกี่ยวไว้กับเบ็ด) แล้วเราดึงเบ็ดขึ้นมา แล้วปลาดิ้นหลุดออกจากเบ็ดได้ นั่นแหละครับ (Off the Hook).

ทีนี้พอเอามาใช้เป็นสำนวน ก็เลยมีความหมายว่า Out of Trouble คือ พ้นเคราะห์ รอดพ้นอันตราย หรือ หลุดพ้นจากสถานะการณ์ลำบาก นั่นเอง

ไหนๆ วันนี้ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ก็ขอแถมความหมายของคำแสลงของ Hook ด้วยก็แล้วกันนะครับ
คำว่า Hooked ในประโยคอย่างเช่น You're hooked (on something) แปลว่า "นายน่ะติดมันจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว" หรือว่าเราจะใช้คำว่า "ถูกหลอกให้หลงไหล" หรือ "งมงาย" มาแทนคำว่า "ติดมันจนหน้ามืดตามัว" ก็ได้ครับ

เรามักจะใช้คำนี้กับคนที่ติดอะไรซักอย่าง เช่น ติดยาเสพติด ติดเหล้า หลงหญิง อะไรทำนองนี้แหละครับ

สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สุขภาพ: กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค

สวัสดีครับ วันนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพซักหน่อยนะครับ ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่าน ก็เลยนำมาลงไว้ให้อ่านกัน  ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีวันดีคืนนะครับ

ที่มา: http://www.noklek.com/wiki2/index.php/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84

กายบริหารแกว่งแขน คือ อะไร?
ประวัติความเป็นมา “กายบริหารแกว่งแขน”
ในปีพุทธศักราช 1070 ซึ่งตรงกับรัชสมัยราชวงศ์เหลียง พระสังฆปรินายกโพธิธรรมชาวอินเดีย หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ต๋า โม๋” (TA MO) ได้เดินทางมายังประเทศจีนและปักหลักเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่นั่นเป็นเวลาหลาย สิบปี ครั้งหนึ่งในระหว่างการเทศนาและการทำสมาธิ ท่านพบพระสงฆ์หลายรูปมีสุขภาพอ่อนแอ และบางรูปถึงกับนอนหลับไปด้วยความเมื่อยล้าอ่อนเพลีย พระโพธิธรรมจึงได้ชี้ให้เห็นว่า “ร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น จึงจะยืนหยัดฝึกจิตบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จ”
ก่อนหน้าที่ท่านจะได้เน้น ถึงความสำคัญของร่างกายอันได้แก่พลังและท่าทางของร่างกายที่เหมาะสมในการฝึก สมาธินั้น พุทธศาสนิกชนต่างเน้นแต่การฝึกจิตโดยละเลยร่างกาย ดังนั้นพระโพธิธรรมจึงได้คิดค้นท่าบริหารร่างกายสำหรับพระสงฆ์ในตอนเช้า เพื่อส่งเสริมสุขภาพและบันทึกขึ้นไว้เป็นคัมภีร์ 3 เล่มได้แก่
  1. คัมภีร์ อี้ จิน จิง คือ วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น
  2. คัมภีร์ สี สุ่ย จิง คือ วิชาชำระไขกระดูกให้สะอาด
  3. สื่อ ปา หลัว ฮั่ว โส่ว คือ เพลงมวยฝ่ามือสิบแปดอรหันต์
ดังนั้น คัมภีร์ อี้ จิน จิง ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์อันล้ำค่าของพระโพธิธรรม (ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง) ก็คือหนังสือกายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรคฉบับนี้
คำ ว่า “เปลี่ยนเส้นเอ็น” มิใช่หมายถึง ผ่าตัดเปลี่ยนเอาเส้นเอ็นออกมาตามความเข้าใจของการแพทย์แผนปัจจุบันแต่เป็น การปรับเปลี่ยนแก้ไขสภาพของเส้นเอ็นด้วยการออกกำลังกายโดยวิธีแกว่งแขนซึ่ง จะส่งผลให้เลือดลมภายในโคจรไหลเวียนได้สะดวก เป็นปกติไม่ติดขัด
ต่อ มา ”คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น” นี้ได้ถูกเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “กายบริหารแกว่างแขนบำบัดโรค” เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ตำรา โบราณนี้จึงเป็นหนังสือวิชาที่เก่าแก่มีอายุถึง 1400 ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติจีน อันมิอาจประมาณค่าได้ชิ้นหนึ่ง

“กายบริหารแกว่งแขน” มีประโยชน์อย่างไร?

กาย บริหารแกว่งแขน เป็นวิธีออกกำลังเพื่อบริหารร่างกายที่มีประโยชน์มากวิธี หนึ่ง หลังจากได้มีการค้นพบและเผยแพร่ตำรานี้ออกมาที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ก็มีประชาชนนิยมทำกายบริหารแบบนี้ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโรคที่ไม่มี ทางรักษาให้หายได้โดยการแพทย์ปัจจุบัน ก็สามารถใช้การบริหารแบบง่ายๆ นี้รักษาให้หายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนแทบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ กายบริหารแกว่งแขนนี้ ทำง่ายหัดง่าย และเป็นเร็ว นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการบำบัดโรคได้รวดเร็วอีกด้วย โรคเรื้อรังมากมายหลายชนิดก็สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยวิธีทำกายบริหารแบบ นี้

เหตุใดการบริหารแกว่งแขนจึงสามารถบำบัดโรคต่างๆได้

สิ่ง ที่เป็นปัญหาเกิดขัดแย้งกันภายในร่างกายของคนเราจนก่อให้เกิดความไม่สบายแก่ ร่างกายนั้น แพทย์จีนแผนโบราณกล่าวว่า เกิดจาก “เลือดลม” เป็นต้นเหตุ หากเลือดลมภายในร่างกายของเราผิดปกติโรคต่างๆ มากมายก็จะเกิดขึ้นกับเราทันที เริ่มแรกจะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง นอนหลับน้อยลง ต่อไปก็จะกระทบกระเทือนถึงสภาพของร่างกายคือทำให้ซูบผอมอ่อนแอเป็นต้น เมื่อเราทำให้เลือดลมเดินสะดวกไม่ติดขัดแล้ว โรคร้ายทั้งหลายก็จะหายไปเอง โดยอาศัยหลักดังกล่าวนี้ การทำกายบริหารแกว่งแขนจึงสามารถแก้ไขเลือดลมและเปลี่ยนแปลงสภาพของร่างกาย หากแก้ให้ถูกจุดสำคัญที่ขัดแย้งกันเสียก่อนได้ เมื่อนั้นปัญหาอื่น ๆ ก็จะแก้ได้ง่ายดายขึ้น
ถ้าเราสังเกตใหัดีจะพบว่า ขณะที่ คนเราเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อันเนื่องมาจากการคร่ำเคร่งปฏิบัติงาน ไม่มีโอกาสเปลี่ยนอริยาบถ จนกระทั่งทนต่อไปไม่ไหวแล้วเราก็จะชูแขน เหยียดขา ยืดตัวจนสุด อย่างที่คนทั่วไปเรียกว่า “บิดขี้เกียจ”ทันทีหลังจากนั้นเราจะรู้สึกสบายตัวกระชุ่มกระชวยขึ้นอย่างบอก ไม่ถูก ซึ่งอาการเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือ “การยึดเส้นเอ็น” ตามความหมายในคัมภีร์โบราณนั่นเอง การที่เส้นเอ็นซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย มีโอกาสยืดขยายหรือถูกนวดเฟ้น จะทำให้เลือดลมภายในสามารถกระจายไหลเวียนได้สะดวก อันเป็นเหตุให้เกิดความผ่อนคลาย หายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเกิดความกระปี้กระเปร่าสดใสขึ้น
และ ที่สำคัญ เลือดลมที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงไปทั่วร่างกายได้อย่างสะดวก จะช่วยเปลี่ยนสภาพอวัยวะที่ แข็งกระด้าง ซึ่งเป็นความผิดปกติ ให้กลับกลายเป็นอ่อนนิ่ม และจากสภาพที่อ่อนแอ่ไม่มีประสทธิภาพ ให้กลับคืนมาเป็นแข็งแรงและมีสมรรถภาพดีขึ้น
แต่โดยทั่วไปคนเรา ได้ละเลยและมองข้ามความสำคัญของการบริหารกายเพื่อยืดขยายเส้นเอ็น ภายในร่างกาย จึงทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวกและติดขัด เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่น้ำมันถูกส่งมาหล่อเลี้ยงไม่สม่ำเสมอ ย่อมเป็นเหตุให้รถที่วิ่งไปมีอาการกระตุก ๆ ไม่ราบรื่น ร่างกายของคนเราก็เช่นกันหาก“เลือดลมติตขัด” ก็จะส่งผลให้ป่วยเป็นโรคต่างๆ สุขภาพจะทรุดโทรมย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ
อันที่จริงการเจ็บป่วยไม่ ว่าจะป่วยเป็นโรคชนิดใด ใช่ว่าจะเป็นเรื้อรังอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีทางแก้ไขเยียวยาก็หาไม่ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะต่อสู้กับโรคชนิดนั้นหรือไม่? หากเราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่เกาะกินเราจนถึงที่สุดแล้ว แน่นอนเหลือเกินเราจะต้องประสบชัยชนะ การบริหารร่างกายโดยวิธีแกว่งแขนนี้มีเหตุผลและหลักวิชาที่ลึกซึ้งแยบยล มิใช่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติไปโดยหลงงมงายขาดเหตุผลแต่อย่างใด
ฉะนั้น ขอให้ผู้ที่ปรารถนาในความมีสุขภาพแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์เพรียบพร้อม ควรศึกษาและทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติไปตามลำดับโดยเริ่มตั้งแต่
  1. เรียนรู้หลักสำคัญพื้นฐานของกายบริหารแกว่งแขน
  2. เคล็ดวิชา 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน
  3. เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน
การ ออกกำลังโดยวธีแกว่งแขนนี้ นับว่าประเสริฐมากและได้ผลเกินคาด ทุกคนควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะมีแแต่ผลดีไม่บังเกิดผลเสียประการใด ข้อสำคัญผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันอดทนต้องยืนหยัดพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ จึงจะบรรลุผลสมความปรารถนา

หลักสำคัญพื้นฐานของกายบริหารแกว่งแขน

๑. ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับช่วงไหล่ (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
๒. ปล่อยมือทั้ง ๒ ข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็งให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
เอวเป็นแกนเพลา
๓. ท้องน้อยหดเข้า เอวตั้งตรง เหยียบหลัง ผ่อนคลายกระดูกลำคอ ศีรษะและปากควรปล่อยไปตามสภาพธรรมชาติ
๔. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส่วนส้นเท้าก็ให้ออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนรู้สึกกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้ (ดูภาพประกอบด้านบน)
๕. สายตาทั้ง ๒ ข้าง ควรมองตรงไปยังจุดใดจุดหนึ่งแล้วมองอยู่ที่เป้าหมายนั้นจุดเดียว สลัดความกังวลหรือความนึกคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ออกให้หมด ให้จุดสนใจความรู้สึกมารวมอยู่ที่เท้าเท่านั้น
๖. การแกว่งแขน ยกมือแกว่งแขนไปข้างหน้าอย่างเบาๆซึ่งตรงกับคำว่า “ว่างและเบา” แกว่งแขนไปข้างหน้าไม่ต้องออกแรง ความสูงของแขนที่แกว่งไปพยายามให้อยู่ระดับที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนไห้สูงเกินไป คือ ให้ทำมุมกับลำตัวประมาณ ๓๐ องศา แล้วตั้งสมาธินับหนึ่ง...สอง...ลาม...ไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังอย่าลืมออกแรงส้นเท้าและลำแขนด้วย เมื่อมือห้อยตรงแล้ว แกร่งขึ้นไปข้างหลังต้องออกแรงหน่อย ตรงกับคำที่ “แน่นหรือหนัก” แกว่งจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อไม่ยอมให้มือสูงไปกว่านั้นอีก เวลาแกว่งแขนกลับให้มีความสูงของแขนถึงลำตัวประมาณ ๖๐ องศา (ดูภาพประกอบ)
สรุปแล้วก็คือ ขณะที่แกว่งแขนไปข้างหลังให้ออกแรงมากหน่อย ส่วนแกว่งไปข้างหน้าไม่ต้องออกแรง คือ ใช้แรงเหวี่ยงให้กลับไปเอง
ก่อน การทำกายบริหารแกว่งแขน ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่คับหรือรัดแน่นเกินไป สะบัดแขน มือ เท้าสักครู่ ให้กล้ามเนื้อและร่างกายผ่อนคลาย หมุนศีรษะไปมาแล้วจัดลักษณะท่าทางให้ถูกต้อง
การทำกายบริหารแกว่งแขนมีวิธีนับอย่างไร
การ แกว่งแขนนับโดยเริ่มออกแรงแกว่งไปข้างหลัง แล้วให้แขนเหวี่ยงกลับมาข้างหน้าเองนับเป็น ๑ ครั้ง แล้วนับสอง..สาม..ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบตามจำนวนที่เรากำหนดไว้
การแกว่งแขนแต่ละครั้งควรใช้เวลานานเท่าไร
เริ่ม แรกที่ทำกายบริหารควรทำตั้งแต่ ๒๐๐-๓๐๐ ครั้งก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นครั้งละ ๑๐๐ ตามลำดับจนกระทั่งถึง ๑๐๐๐-๒๐๐๐ ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาในการบริหารประมาณครั้งละ ๓๐ นาที (แกว่ง ๕๐๐ ครั้งใช้เวลาประมาณ๑๐ นาที) การแกว่งแขนควรทำเวลาไหน
การทำ กายบริหารแกว่งแขน สามารถทำได้ทุกเวลาคือเวลาเช้า กลางวัน และ เวลาค่ำ หรือแม้แต่ยามว่างสัก ๑๐ นาทีก็สามารถทำได้ หากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ควรนั่งพักเสียก่อนสัก ๓๐ นาที แล้วจึงค่อยทำกายบริหาร การแกว่งแขนควควรทำที่ไหน
การทำกายบริหารแกว่งแขนนี้ไม่จำกัดสถานที่ สามารถทำได้ในที่ทำงาน ในบ้าน ฯลฯ
แต่ ถ้าเป็นไปได้ควรทำในที่โล่งซึ่งมีอากาศถ่ายเทสะดวกเช่นในสวน ใต้ต้นไม้ จะเป็นการดีมากหากผู้ปฏิบัติสามารถยืนอยู่บนพื้นดิน หรือสนามหญ้า และที่สำคัญขณะทำกายบริหารแกว่งแขนต้องถอดรองเท้าเสมอ ในหนังสือตำราแพทย์โบราณกล่าวว่า การที่เราได้มีโอกาสเดินด้วยเท้าเปล่า ไปบนพื้นหญ้าที่มีน้ำค้างในยามเช้าเกาะอยู่ นับเป็นผลดีอันวิเศษยิ่งเพราะฝ่าเข้าทั้งสองจะดูดชึมเอาธาตุต่าง ๆ จากน้ำค้างบนใบหญ้า เข้าไปบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพพลาอนามัยที่สมบูรณ์ยอดเยี่ยม

เคล็ดลับ 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน

  1. ส่วนบนควรจะปล่อยให้ว่าง
  2. ส่วนล่างควรจะให้แน่น
  3. ศีรษะควรให้แขวนลอย (มองตรงไปไม่ก้มไม่เงยหน้า)
  4. ปากควรปล่อยให้เงียบสงบตามปกติ
  5. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้ายปล่อยตามสบายไม่เกร็ง
  6. หลังควรยืดตรงให้ตระหง่าน
  7. บั้นเอวควรตั้งตรงเป็นแกนเพลา
  8. ลำแขนควรแกว่งไกว
  9. ข้อศอกควรปล่อยให้ลดต่ำลงตามธรรมชาติ
  10. ข้อมือควรจะปล่อยให้หนักหน่วง
  11. สองมือนั้นควรพายไปตามจังหวะแกว่งแขน
  12. ช่วงท้องควรปล่อยตามสบาย
  13. ช่วงขาควรผ่อนคลายยืนตรงตามธรรมชาติ
  14. บั้นท้าย (ก้น) ควรจะให้งอนขึ้นเล็กน้อย
  15. ส้นเท้าควรจะยืนถ่วงน้ำหนักเหมือนก้อนหิน
  16. ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้น


คำอธิบายเคล็ดลับ 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน

  1. ส่วนบนควรจะปล่อยให้ว่าง หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือ ศีรษะควรปล่อยให้ว่างเปล่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน ควรทำอย่างตั้งอกตั้งใจ มีสมาธิแน่วแน่
  2. ส่วนล่างควรจะให้แน่น หมายถึงส่วนล่างของร่างกายใต้บั้นเอวลงไปต้องให้ลมปราณเดินให้สะดวก เพื่อให้เกิดพลังสมบูรณ์ ฉะนั้นคำว่า "ส่วนบนว่างส่วนล่างแน่น" ซึ่งเป็นตัวสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารแกว่งแขน หากเวลาทำการบริหารไม่สามารถเข้าถึงจุดนี้ได้แล้ว ก็จะทำให้ได้ผลน้อยลงไปมากทีเดียว
  3. ศีรษะควรให้แขวนลอย หมายถึง ศีรษะของท่านจะต้องปล่อยสบายๆ ประหนึ่งแขวนลอยไว้ในอากาศ กล้ามเนื้อคอจะต้องปล่อยให้ผ่อนคลาย ไม่เกร็งไม่ควรโน้มไปข้างหน้าหงายไปข้างหลังหรือเอียงไปข้างๆ
  4. ปากควรปล่อยให้เงียบตามปกติ หมายถึง ไม่ควรหุบปากแน่น หรืออ้าปากไปตามจังหวะที่ออกแรงแกว่งแขน ไม่ควรให้อ้าปากตามใจชอบ ให้หุบปากเพียงเล็กน้อยโดยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คือไม่เม้มริมฝีปากจนแน่น
  5. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้าย คือกล้ามเนื้อทุกส่วนบนทรวงอก ต้องให้ผ่อนคลายแบบธรรมชาติ เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกร็งก็จะอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย
  6. หลังควรยืนตรงให้ตระหง่าน หมายความว่าไม่แอ่นหน้าแอ่นหลัง หรือก้มตัวจนหลังโก่ง ต้องปล่อยแผ่นหลังให้ยืดตรงตามธรรมชาติ
  7. บั้นเอวควรตั้งตรงเป็นแกนเพลา หมายถึงบั้นเอวต้องให้เหมือนเพลารถต้องให้อยู่ในลักษณะตั้งตรง
  8. ลำแขนแกว่งไกว หมายถึงแกว่งแขนทั้งสองข้างไปมา
  9. ข้อศอกควรปล่อยให้ลดต่ำลงตามธรรมชาติ หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าและข้างหลัง อย่าให้แขนแข็งทื่อ ควรให้งอศอกเล็กน้อยตามธรรมชาติ
  10. ข้อมือควรจะปล่อยให้หนักหน่วง หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้งสองนั้นควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ข้อมือ เมื่อไม่เกร็งแล้วจะรู้สึกคล้ายมือหนักเหมือนลูกตุ้มถ่วงอยู่ปลายแขน
  11. สองมือนั้นควรพายไปตามจังหวะแกว่งแขน หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนนั้น ฝ่ามือด้านในหันไปด้านหลัง ทำคล้ายกับท่าพายเรือ
  12. ช่วงท้องควรปล่อยตามสบาย หมายถึง เมื่อกล้ามเนื้อท้องถูกปล่อยให้ผ่อนคลายแล้วจะรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น
  13. ช่วงขาควรผ่อนคลาย หมายถึง ขณะที่ยืนให้เท้าทั้งสองแยกห่างกันนั้นควรผ่อนกล้ามเนื้อที่ช่วงขา
  14. บั้นท้าย (ก้น) ควรจะให้งอนขึ้นเล็กน้อย ระหว่างทำกายบริหารนั้นต้องหดก้น(ขมิบ) คล้ายยกสูงให้หดหายไปในลำไส้
  15. ส้นเท้าควรยืนถ่วงน้ำหนักเสมือนก้อนหิน หมายถึงการยืนด้วยส้นเท้าที่มั่นคงยึดแน่นเหมือนก้อนหินไม่มีการสั่นคลอน
  16. ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องจิกแน่นกับพื้น หมายถึงขณะที่ยืนนั้น ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้นเพื่อยึดให้มั่นคง

เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน

เคล็ด ลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขนคือ “บน สาม ล่าง เจ็ด” ส่วนบน “ว่างและเบา” เรียกว่า “บนสาม” แต่ส่วนล่าง “แน่นและหนัก” เรียกว่า “ล่างเจ็ด” เคล็ด ลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน คือส่วนบนว่างและเบาแต่ส่วนล่างแน่นและหนัก การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไม ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วแกว่งแขนทั้งสองข้างนี่แหละที่จะช่วยให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เพราะ “ส่วนบนแข็งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ” ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็น “ผู้ที่มีร่างกายส่วนล่างแข็งแรงและส่วนบนกระชุ่มกระชวย” อันเป็นลักษณะที่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้โรคภัยทั้งหลายในร่างกายถูกขจัดออกไปเองจนหมด

อธิบายเคล็ดลับพิเศษ “บน สาม ล่าง เจ็ด”
คำว่า “บน สาม ล่าง เจ็ด” หมายถึง อัตราส่วนเปรียบเทียบ การออกแรงมากหรือน้อย
“บน” หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือ มือ
“ล่าง” หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือ เท้า
“บนสาม” คือ ใช้แรงส่วนบนสามส่วน
“ล่างเจ็ด” คือ ใช้แรงส่วนล่างเจ็ดส่วน
เคล็ดวิชาคำว่า “บน สาม ล่าง เจ็ด” มีความหมาย 2 ประการ คือ
ประการที่ 1 ในการออกแรงแกว่งแขน หมายถึง เวลาแกว่งแขนขึ้นข้างบน ใช้แรงเพียงสามส่วน เวลาแกว่งลงต่ำมาข้างล่าง ใช้แรงเจ็ดส่วน
ประการ ที่ 2 ในการออกแรงทั้งตัว หมายถึง ถ้าจะนับกันทั้งตัว การออกแรงก็มีอัตราส่วนเปรียบเทียบบนกับล่างเท่ากับสามต่อเจ็ด คือแกว่งแขนไปข้างหน้านั้น จะเบาหรือแรงก็ได้ แต่มือจะต้องให้ได้ส่วนกับเท้าสามต่อเจ็ดอยู่ตลอดเวลา เมื่อแกว่งแขนแรง เท้าก็ต้องออกแรงยิ่งกว่านั้น นี่คือความหมายที่กล่าวไว้ว่า "ส่วนบนว่าง ส่วนล่างแน่น" หรือบนสามล่างเจ็ด
เมื่อแขนออกแรงเท้าไม่ออกแรงก็ทำได้ไม่ สมบูรณ์ คือรู้จักใช้แต่แขนลืมใช้เท้า การที่ไม่ต้องการให้ออกแรง มิใช่ว่าจะปล่อยเลยทีเดียว การที่ให้ออกแรงก็มิใช่ว่าให้ออกแรงจนสุดแรงเกิด การปล่อยให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายโดยไม่ออกแรงเลยจนนิดเดียวก็จะไม่ได้ผล เพราะผิดหลักผิดอยู่ที่อัตราส่วนการออกแรงที่เท้าน้อยไป คือ เท้ากับส่วนบนนั่นเองหรือหากแขนจะออกแรงมากไปสักหน่อย ก็จะกลับตาละปัตร ก็จะกลายเป็นว่าส่วนล่างว่าง ส่วนบนแน่นเกินไป
การแกว่งแขน ข้อสำคัญต้องระวังที่แขนให้มาก เมื่อต้องการให้ออกแรง ก็มักจะคิดแต่การออกแรงที่แขน ลืมไปว่ายังมีเท้ายังมีเอวที่จะต้องมีส่วนช่วยในการเคลื่อนไหวเหมือนกัน
การ เคลื่อนไหวออกแรงของเท้าและเอวนี้สำคัญมากกว่าแขนเสียอีก การที่กล่าวเช่นนี้ บางท่านอาจไม่เข้าใจ หากเคยฝึกมวยจีนไท้เก็กหรือหลักจิตแพทย์จีนสมัยโบราณเกี่ยวกับเส้นเอ็น หรือชีพจร แล้วก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก แขนที่แกว่งนั้นจะแกว่งไปจากเอวของเรา แต่รากฐานของเอวอยู่ที่เท้า เมื่อเป็นเช่นนี้หากส่วนบน (แขน) ออกแรงแกว่งสะบัดแต่ส่วนล่าง (เท้า) ไม่ออกแรงยึดเกาะพื้นไว้ให้มั่นคง เราก็จะเสียการทรงตัวขาดการสมดุลย์กัน ส่วนมากคนเราจะทราบว่าเวลาเราขึ้นรถหรือลงเรือ และเสียหลักเซล้มลงเนื่องมาจากเสียการทรงตัวขาดการสมดุลย์กัน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังจำนวนไม่น้อย ก็เพราะขาดการสมดุลย์กัน เป็นอัมพาตก็เพราะขาดการสมดุลย์ ความดีเด่นของการแกว่งแขนเท่าที่ปรากฏมาให้เห็นชัดก็คือสามารถช่วยแก้ไขและ ปรับการไม่สมดุลย์ของร่างกาย
เมื่อเราจะแก้ไขและปรับความสมดุลย์ของ ร่างกาย แล้วทำไมจะต้องออกกำลังเท้าด้วย? ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่ฝ่าเท้าของคนเรามีจุด ซึ่งทางแพทย์จีนเรียกว่า “จุดน้ำพุ” จุดนี้ติดต่อไปถึงไตหากหัวใจเต้นแรงหรือไม่นอนหลับ ถ้ามีการบีบนวดตรงจุดน้ำพุนี้ ก็สามารถทำให้ประสาทสงบ แก้โรคนอนไม่หลับได้ ตามตำรายังกล่าวไว้ว่า “ที่เท้ามีจุดอีกหลายจุดเกี่ยวโยงไปถึงอวัยวะภายในของคนเรา” เมื่อทราบตำแหน่งของจุดนั้นๆ แล้วก็สามารถรักษาโรคซึ่งเกิดกับอวัยวะนั้นได้เช่นกัน
ดังนั้นการออกกำลังโดยวิธีแกว่งแขนก็คือการปรับร่างกายให้สมดุลย์ ซึ่งเป็นการบำบัดรักษาโรคนั่นเอง การ ที่มีคำกล่าวว่า “โรคร้อยแปดอาจรักษาให้หายได้ด้วยเข็มเพียงเล่มเดียว” หลายคนคิดว่าออกจะเป็นการอวดอ้างเกินความจริง แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้วิธีการรักษาโรคได้โดยการฝังเข็มและประกอบด้วยการ บีบนวดนั้น ไม่ใช่รักษาโรคร้อยแปด ฉะนั้นการที่จะกล่าวว่าการแกว่งแขนสามารถรักษาโรคได้ร้อยแปดนั้น คงคิดว่าไม่ใช่เป็นการอวดอ้างเกินความจริงแน่ เพราะกายบริหารแกว่งแขนก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในตัวเองอยู่แล้ว
เคล็ด ลับวิชาทั้ง 16 ประการและเคล็ดลับพิเศษในการบริหารแกว่งแขนดังได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ 
ขอให้ทุกท่านอ่านทบทวนจนเข้าใจแจ่มแจ้งดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ จะทำให้ได้รับผลยอดเยี่ยมครบสมบูรณ์

ข้อแนะนำ

การ แกว่งแขนต้องอาศัยความอดทน การแกว่งแขนแต่ละครั้งจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนว่า อ่อนแอหรือแข็งแรงเพียงใด อย่าใจร้อน อย่าฝืน แต่ก็ไม่ไช่ทำตามสบาย เพราะหากปล่อยตามใจชอบแล้ว ก็จะขาดความเชื่อมั่นต่อการออกกำลังกาย และจะไม่บังเกิดผลเมื่อเริ่มปฏิบัติอย่าออกแรงหักโหมมากเกินไปให้แกว่งไปตาม ปกติทำอย่างนิ่มนวล ไม่ใช่แกว่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ควรทำจิตใจให้เป็นสมาธิ อย่าฟุ้งซ่าน ถ้าหากไม่มีสมาธิแล้วเลือดก็จะหมุนเวียนสับสนไม่เป็นระเบียบ ทำให้การปฏิบัติไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่
กายบริหารแกว่งแขนนี้เมื่อปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำสามารถบำบัดโรคร้ายแรงและเรื้อรังต่างๆ ให้หายได้
ส่วน ผู้ที่มีร่างกายปกติ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้อารมณ์แจ่มใสจิตใจเบิกบานและเป็นสุขหลังจากการทำกายบริหารแกว่งแขน แล้ว ควรเดินพักตามสบายเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
แค่ขยับ = ออกกำลังกาย สุขภาพดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องทำเอา

อ้างอิง

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Bitter Pill

สวัสดีครับ วันนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้วนะครับ เริ่มกันเลย

คุณผู้อ่านเคยไม่ชอบอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องทำใจยอมรับสิ่งที่ไม่ชอบ หรือต้องอดทนกับมันมั้ยครับ นี่แหละครับที่ฝรั่งเค้าใช้สำนวน Bitter pill 

สำนวน Bitter pill ถ้าแปลตรงตัวก็คือ ยาขม (ยามีรสขม) นั่นเอง และเราจะใช้สำนวนนี้ในกรณีที่เราเจอเข้ากับ "บางสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่ก็ต้องทำใจยอมรับ หรืออยู่ในสภาวะจำยอมที่ต้องอดทนกับมัน" เปรียบได้กับยาที่ถึงแม้จะมีรสขม แต่เราก็ต้องกินเพื่อรักษาโรคนั่นเอง

และสำนวนนี้ก็จะคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า "หวานอม ขมกลืน" ครับ

ขอบคุณและสวัสดีที่ติดตามครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Go round in circles

ต้องขออภัยด้วยครับที่หายไปนาน ติดภารกิจอีรุงตุงนัง งานโน้นงานนี้ทั้งราษฎร์และหลวง (งานนะครับ อย่าคิดเป็นอย่างอื่น)

และเพราะงานเยอะนี่เอง ก็เลยหัวหมุน บางครั้งก็ถึงกับหลงๆ ลืมๆ ย้ำคิดย้ำทำเลยทีเดียว

แถมบางงานก็ยากมาก ทำไปทำมาอยู่ตั้งหลายรอบ แต่งานก็ไม่เดินหน้าซักที
แบบนี้แหละครับ ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Go round in circles ที่หมายถึงการทำเรื่องเดิม ซ้ำไปซ้ำมา แต่งานนั้นก็ไม่คืบหน้าซักที  หรือที่เราใช้สำนวนไทยว่า พายเรือในอ่าง นั่นเองครับ

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Morning, noon and night

เมื่อต้นอาทิตย์ มีเพื่อนคนนึงในเฟซบุ๊ก แนบลิ้งค์ฟังเพลงเพราะในอดีต ที่ชื่อเพลงว่า พรหมลิขิต มาให้ฟัง แล้วกลายเป็นว่าโดนเพื่อนอีกคนแซวว่าแก่  ก็แซวกันไปตามประสาเพื่อน  แต่การแซวครั้งนั้นกลับมาสะกิดให้ผมนึกถึงเพลงอีกเพลงนึงที่เก่ากว่าซะอีก

เพลงที่ว่านั่นก็คือเพลง ขวัญเรียม จากภาพยนต์เรื่อง "แผลเก่า" นั่นเอง  เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายของเพลงนี้เค้าร้องว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่นกับเรียม 

สำนวน Morning, noon and night ก็เปรียบได้กับคำภาษาไทย เช้า สาย บ่าย เย็น นี่แหละครับ (แต่คุณผู้อ่านจะใช้คำว่า เช้า สาย บ่าย ค่ำ ก็ไม่ผิดครับ) ความหมายของสำนวนทั้งสองภาษานี้ก็เหมือนกันคือแปลว่า ทุกเวลา หรือ ตลอดเวลา ครับ 

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมขอยกตัวอย่างประโยคหวานๆ ซักประโยคนึงก็แล้วกันนะครับ
 I miss you morning, noon and night.  ซึ่งก็แปลว่า ผมคิดถึงคุณตลอดเวลา  

เป็นยังไงครับ หวานจนเลี่ยนมั้ย :)

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: To make ends meet

เฮ้อ! สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน แต่ทำงานมากี่ปีต่อกี่ปีเงินเดือนก็ยังได้เท่าเดิม ช่วงปลายเดือนทีไรดูเหมือนว่าเงินจะไม่ค่อยพอใช้ จะซื้อของกินของใช้ก็ต้องกระเหม็ดกระแหม่ รัดเข็มขัดเสียจนหน้าเขียว 

ผมคิดว่าคุณผู้อ่านหลายคน ก็คงจะเคยรู้สึกอย่างนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย  นี่แหละครับเป็นที่มาของสำนวนวันนี้ To make ends meet 

จากสำนวนนี้ ถ้าแปลกันตรงตัว คุณผู้อ่านก็คงจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนนัก (แปลตรงตัวได้ว่า จับเอาปลายมาชนกัน)  ดังนั้นเรามาดูความหมายที่แท้จริงกันเลยดีกว่านะครับ  ฝรั่งเค้าใช้สำนวนนี้ในความหมายที่ว่า (ทำงาน)หาเงินให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย  ซึ่งก็จะตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ชักหน้าให้ถึงหลัง นั่นเองครับ

และถ้าคุณผู้อ่านต้องการจะพูดว่า ชักหน้าไม่ถึงหลัง ล่ะก็ คุณผู้อ่านก็ต้องใช้ว่า Unable to make ends meet นะครับ  สำหรับผม ตอนนี้ก็ต้องขอตัวไปทำบัญชีรายรับรายจ่ายง่ายๆ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายก่อนนะครับ

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Pain in the ass หรือ Pain in the neck

ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านเคยมีอาการคอตกหมอนกันบ้างมั้ยครับ  ถ้าเคยเป็น คุณคงจะเห็นด้วยกับผมว่าอาการเหล่านี้มันน่าหงุดหงิดรำคาญมาก  จะหันมองอะไรที ต้องหันไปทั้งตัว ไม่งั้นมันจะร้าวระบมไปหมดตั้งแต่หัวถึงไหล่ แถมเวลาปวดระบมนี่ ถึงกับครางฮือเลยทีเดียว

อาการเหล่านี้แหละที่ฝรั่งถึงกับเอามาใช้เปรียบเปรยเป็นคำสำนวนกันเลย  สำนวน Pain the the ass หรือ Pain in the neck ถ้าแปลตรงตัวก็คือ เจ็บตูด หรือเจ็บต้นคอ

สำหรับสำนวน Pain in the ass บางท่านอาจจะกระดากปาก ไม่กล้าพูดเพราะมันไม่สุภาพ ดังนั้นเราสามารถใช้คำว่า rear มาแทนก็ได้  คำว่า rear แปลว่า ด้านหลัง หรือ ก้น (สุภาพกว่าคำว่า ตูด นะ จริงมั้ยครับ :D )  ดังนั้นสำนวนก็จะเป็น Pain the the rear ที่แปลว่า เจ็บด้านหลัง (เจ็บก้น นั่นแหละครับ)  เห็นมั้ยว่ามันสุภาพกว่าคำว่า เจ็บตูด เป็นไหน ๆ

เอาละครับ อธิบายแบบขำขำกันไปแล้ว เรามาดูความหมายที่แท้จริงของสำนวนนี้กันดีกว่า  สำนวนด้านบนทั้งหมดนี้ หมายถึง คน หรือ เหตุการณ์ ที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด รำคาญมาก (และนัยยะของมันคือ ออกอาการรังเกียจ เอือมระอา) และถ้าจะแปลให้เห็นภาพชัดเจนละก็
            ถ้าพูดถึงคน ก็จะแปลว่า คนงี่เง่า (ที่เราเอือมระอา หรือ รังเกียจ)
            ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ ก็จะหมายถึง เหตุการณ์บ้าๆ (ที่ทำให้เราเดือดร้อน รำคาญ)

ครับ คุณผู้อ่านบางคนคงแปลกใจที่วันนี้ผมนำคำสำนวนที่ความหมายดุเดือดมาเล่าให้ฟัง คือมันมีเหตุเกิดขึ้นกับผมน่ะครับ มันเกิดกับอวัยวะส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสำนวนนี้ ซึ่งอาการของมันก็ทำให้ผมเดือดร้อนรำคาญมาก ทำให้ผมนึกถึงสำนวนนี้ขึ้นมา ก็เลยคิดว่าเอาละเขียนเล่าถึงสำนวนนี้ให้คุณผู้อ่านดีกว่า  แต่ห้ามถามนะว่าอวัยวะไหนที่ทำให้ผมเดือดร้อน ผมไม่บอกหรอก ปล่อยให้คุณผู้อ่านไปคิดกันเอาเอง อิอิิอิ

สวัสดีครับ :D

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นาฬิกา: My Watch, My Style! - When East Meets West

รื่องมันเริ่มต้นจากที่ว่า
ในแง่ของตัวเรือนนาฬิกา ผมไปติดใจในรูปแบบของนาฬิกา IWC Mark XVI เข้า wub.gif ด้วยความที่การออกแบบของมันลงตัวมาก คิดอยู่หลายตลบแต่ก็ทำใจซื้อไม่ลง เพราะราคามันไม่เป็นมิตรกับกระเป๋าของผมซะเลย

ส่วนเรื่องสายนาฬิกา ในวันหนึ่ง ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง สายตาผมดันไปสะดุดเข้ากับนาฬิกา Rolex Submariner บนข้อมือของสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง และรู้สึกแปลกตาที่สายของ Submariner เรือนนั้นไม่ใช่สายเหล็ก แต่ทำไมมันถึงได้เข้ากันกับตัวเรือนเป็นปี่เป็นขลุ่ยซะขนาดนั้น ohmy.gif
ความ รู้สึกอยากเป็นเจ้าของก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่สำนึกเดิมก็คอยมาสะกิดเตือนอยู่ข้างหลังว่า พอเพียงหนอ พอเพียงหนอ ผมข่มความอยากได้ไว้ด้วยความยากเย็น แต่รูปลักษณ์ของตัวเรือนนาฬิกา และสายนาฬิกาแบบนั้นประทับอยู่ในใจผมอย่างยากที่จะลบเลือน

ตั้งแต่วันนั้น ผมก็เริ่มรู้แล้วว่า ผมอยากได้นาฬิกาแบบไหนและสายยังไง และที่สำคัญที่สุดคือราคาต้องไม่แพง คุณภาพพอเชื่อถือได้ และบอกเวลาตามหน้าที่ของมันได้อย่างซื่อสัตย์

และ นั่นก็เป็นที่มาของนาฬิกาเรือนนี้ พร้อมกับสายแบบนี้ ที่ทำให้ในที่สุด East ก็มา Meet กับ West  ขอบคุณ Seiko Corporation ที่ผลิตรูปลักษณ์ของตัวเรือนที่ถูกใจผมมาก และขอบคุณผู้ผลิตสายนาโต้ (Nato) แนวสุดเท่ที่ผมได้นำมาประกบเข้ากับ Seiko Military เรือนนี้  ขอบคุณที่ได้ช่วยสานความฝันของผมให้เป็นจริงในวันนี้ครับ

(ขออธิบายนิดนึงนะครับว่า ผมเขียนเรื่องนาฬิกา แล้วไปตั้งชื่อเรื่องว่า "When East Meets West" ได้ยังไง  East ในบทความนี้ผมหมายถึงประเทศหนึ่งทางฝั่งตะวันออก ซึ่งก็คือประเทศญี่ปุ่นที่ผลิตตัวเรือนนาฬิกา Seiko Military เรือนนี้ และ West ผมก็หมายถึงประเทศหนึ่งทางฝั่งตะวันตก ซึ่งก็คือประเทศอังกฤษ ที่เป็นต้นกำเนิดสายนาฬิกานาโต้แบบนี้นั่นเอง)

เอาล่ะครับ มาชมรูปประกอบเนื้อเรื่องกันดีกว่า

When East Meets West”
แถว..วววววว ตรง!
user posted image

ตามระเบียบ..บบบบบบ พัก!
user posted image

อุ้ย! อยู่ๆ ก็ไฟดับขึ้นมาเฉยๆ
แต่ไม่เป็นไร พลทหารอย่างผมยังพอมีไฟอยู่ ครับผม! smile.gif
user posted image

เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว
user posted image

ภารกิจสำหรับวันนี้ คือซ้อมโดดร่ม เพื่อเก็บชั่วโมงฝึก
user posted image

เอ้า พลทหาร มาประจำการ ได้
user posted image

เฮ้ ทำไมยืนประจำการผิดตำแหน่ง ย้ายที่ตั้งด่วน พลทหาร!
รับทราบและปฏิบัติ ครับ..บบผม!
user posted image

ภารกิจสำหรับวันนี้ จบเพียงแค่นี้ เลิกประจำการได้!
หลังภารกิจ พลทหารจึงเอนหลังดูคอนเสิร์ตด้วยความสบายอารมณ์ laugh.gif
user posted image

จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามดูจนจบนะครับ คราวหน้าจะมานำเสนอเรื่องอื่นใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ รูปทุกรูปถ่ายด้วยกล้อง Canon DSLR โดยผมเอง
ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้โดยไม่ได้รับคำยินยอมอย่างเป็นทางการจากผมนะครับ

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: bird in the hand is worth two in the bush

หมายเหตุ  สำนวน นั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า idioms
ซึ่งหมายถึง วลี (ถ้อยคำ) ที่นำมาเรียบเรียงให้มีความหมายพิเศษ หรือความหมายเพื่อการเปรียบเทียบ
 
วันนี้สำนวนภาษาอังกฤษกลับมาอีกเช่นเคย หลังจากคราวที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ แล้วแฟนๆ ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ สงสัยจะเขียนยาวไป

Bird in the hand is worth two in the bush เป็นสำนวนที่ถ้าแปลตามภาษาอังกฤษ ก็จะได้เป็นว่า นก(หนึ่งตัว)ที่อยู่ในมือ มีค่ามากกว่านกสองตัวที่อยู่ในพุ่มไม้

สำนวนนี้ ฝรั่งเค้าใช้ในความหมายที่ว่า ของที่อยู่ในมือ นั้นแน่นอนกว่าของที่มีค่ามากกว่าแต่เราอาจจะไปเอามาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเสี่ยงยอมสูญเสียสิ่งที่อยู่ในมือ เพื่อแลกกับสิ่งที่เราอยากจะได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับหรือไม่

ฮั่นแน่ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะทราบแล้วว่า สำนวนนี้ตรงกับคำพังเพยของไทย ที่ว่า กำขี้ดีกว่ากำตด นั่นเองครับ

สวัสดีครับ :)

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์: แก้ปัญหาทาสก์บาร์ หรือหน้าจอเดสก์ทอปของวินโดวส์แฮ้งหรือหายไป

สวัสดีครับ มาพบกันอีกครั้งแล้วนะครับ

ในครั้งนี้ผมจะมาสอนวิธีแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ ที่คุณผู้อ่านอาจต้องเจอ และถ้าเจอ ก็คงหงุดหงิดกับมันไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

 ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่า ทาสก์บาร์ (Taskbar) และ หน้าจอเดสก์ทอป (Desktop) อยู่ตรงไหน สำหรับท่านที่ทราบแล้ว ก็ขอให้อ่านข้ามพารากราฟนี้ไปก่อนเลยก็ได้ครับ หรือถ้าไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจตรงกัน ก็ขอให้อ่านต่อเลยก็แล้วกันนะครับ  ทาสก์บาร์ หมายถึง แถบงานหลักที่อยู่ด้านล่างสุดของ Windows หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ บรรทัดที่มีปุ่ม "start" นั่นแหละครับ  และหน้าจอเดสก์ทอป ก็หมายถึงหน้าจอหลักที่คุณผู้อ่านเห็น หลังจากที่เปิดเครื่องขึ้นมาพร้อมให้คุณใช้งาน หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือหน้าจอที่มีไอคอนโปรแกรมเยอะๆ นั่นแหละครับ

ปัญหานี้ เรามักจะพบบ่อยๆ ใน Windows XP ครับ โดยอาการของมันก็คือ เราใช้งานเครื่องของเรา เปิดโปรแกรมโน้น ปิดโปรแกรมนี้ สลับไปใช้โปรแกรมนั้น  อยู่ดีๆ เราก็คลิ้กทาสก์บาร์ไม่ได้ คือคลิ้กแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับ Windows XP มันไม่ยอมตอบสนองสิ่งที่เราสั่งการ และบางครั้งหน้าจอของโปรแกรมก็เหมือนจะไม่ยอมปิด หรือถ้าปิดโปรแกรมได้ สิ่งที่เราเห็นที่หน้าจอเดสก์ทอปก็คือ ไอคอนโปรแกรมของเราหายไปหมด เหลือไว้แต่หน้าจอเดสก์ทอปที่มีแต่วอลเปเปอร์

สำหรับสาเหตุของปัญหา ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าเป็นเพราะโปรแกรมย่อยที่มีชื่อว่า "explorer.exe" มันพัง หรือมันเพี้ยน มันก็เลยทำงานไม่ถูกต้อง แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เราเห็นกันครับ

เมื่อมาถึงจุดนี้ คุณผู้อ่านไม่ต้องตกใจนะครับ ผมมีวิธีแก้ไขให้แล้ว อ่านต่อไปเลยนะครับ

วิธีแก้ปัญหามีอยู่ 2 วิธีคือ
วิธีที่ 1. ให้ทำการติดตั้งโปรแกรม Windows XP ใหม่
โอ๊ะ ๆ ๆ อย่าเพิ่งโมโหนะครับ ที่ผมแนะนำอย่างนี้  ก็เพราะผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกอย่างนี้นี่นา  เค้าบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  แต่วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีเวลาเหลือเฟือ ในการเตรียมทำการหลายอย่างทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง Windows XP ใหม่ ยกตัวอย่างเช่น แบ๊คอัพข้อมูลสำคัญในเครื่อง และการติดตั้งโปรแกรมทั้งหมดที่ต้องการใหม่อีกครั้ง
โอ้โฮแฮะ ฟังดูเหมือนจะเป็นงานช้าง หลายท่านคงไม่อยากเสียเวลาในการแก้ปัญหามากขนาดนั้นตั้งแต่ที่เจอปัญหาแบบนี้ในครั้งแรกๆ

ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องใช้วิธีที่สองด้านล่างนี้ครับ  วิธีที่สองเป็นการแก้ปัญหาแบบเร็วๆ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแบบถาวร (หมายถึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเดิมได้อีก) แต่มันก็ดีในแง่ที่ว่าหลายท่านยังไม่พร้อมที่จะติดตั้ง Windows XP และโปรแกรมใหม่หมดในเวลานั้น ซึ่งจะกินเวลามาก

วิธีที่ 2. ให้ลบโปรเซส ที่ชื่อว่า "explorer.exe" ใน "Windows Task Manager" ทิ้งซะ แล้วให้สต้าร์ตมันขึ้นมาใหม่
หมายเหตุ ให้ลบโปรเซส นะครับ ไม่ใช่ลบโปรแกรม

เพื่อความง่าย ผมขออธิบายพร้อมภาพประกอบนะครับ
2.1. รูปนี้เป็นตัวอย่างหน้าจอที่เจอปัญหา  คุณผู้อ่านจะเห็นว่าทาสก์บาร์ และไอคอนของโปรแกรมทั้งหมดหายไป ซึ่งในบางกรณี มันก็ไม่ได้หายไปหมดนะครับ บางครั้งเราจะยังมองเห็นทาสก์บาร์และไอคอนบนหน้าจอเดสก์ทอปอยู่ แต่ว่าเราไปคลิ้กอะไรมันไม่ได้ (ออกอาการแฮ้ง  ว่างั้นเถอะ)


2.2. ให้กด 3 ปุ่มมหัศจรรย์เลยครับ (คลิ้กที่ปุ่ม "ctrl", "alt", และ "delete" พร้อมกัน) แล้ว Windows XP ก็จะเปิดหน้าต่าง "Windows Security" ขึ้นมา
ที่หน้าต่างนี้ ให้ท่านคลิ้กที่ปุ่มที่มีชื่อว่า "Task Manager" หรือถ้าใช้เม้าส์ไม่ได้ ก็ให้กดปุ่มลูกศรขวาที่แป้นคีย์บอร์ดก็ได้ครับ กดไปเรื่อยๆ จนกว่ากรอบตัวเลือกจะอยู่ที่ "Task Manager" แล้วก็ให้กดปุ่ม "enter" ที่แป้นคีย์บอร์ด  จากนั้นคุณผู้อ่านก็จะเห็นหน้าต่าง "Windows Task Manager" เหมือนรูปด้านล่างนี้นะครับ


2.3. ลำดับต่อไปก็ให้หาโปรเซสที่ชื่อว่า "explorer.exe" โดยให้คุณผู้อ่านคลิ้กที่ Tab ที่ชื่อว่า "Processes" แล้วให้คลิ้กที่หัวตารางที่ชื่อว่า "Image Name" ซึ่งการคลิ้กตารางนี้จะเป็นการสั่งให้ Windows XP เรียงชื่อโปรเซสทั้งหมดตามตัวอักษรครับ (คลิ้กครั้งแรก จะเรียงจาก a - z  คลิ้กครั้งที่สอง จะเรียงย้อนกลับตั้งแต่ z - a) คุณผู้อ่านจะได้มองหาชื่อโปรเซสที่ต้องการได้ง่าย ๆ

หลังจากคลิ้กเรียงลำดับชื่อโปรเซสแล้ว ก็ให้คุณผู้อ่านมองหาชื่อโปรเซส "explorer.exe" นะครับ เมื่อหาเจอแล้ว ให้ใช้เม้าส์คลิ้กเลือกโปรเซสนี้ แล้วก็ให้เม้าส์คลิ้กที่ปุ่ม "End Process" ที่อยู่มุมล่างขวาของหน้าต่างนี้
จากนั้นจะมีหน้าต่าง "Task Manager Warnings" ปรากฏขึ้นมา ก็ให้คุณผู้อ่านคลิ้ก "Yes" เพื่อยืนยันว่าเราต้องการลบโปรเซสนั้นจริงๆ 
หมายเหตุ บางครั้ง โปรเซสนี้อาจจะหายไปเอง  ถ้าคุณผู้อ่านมั่นใจว่ามองหาดีแล้ว แต่ไม่มีโปรเซสนี้จริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าโปรเซสนี้มันปิดตัวเองไป  ซึ่งก็ไม่เป็นไรครับ ให้คุณผู้อ่านทำตามขั้นตอนต่อไปได้เลย

2.4. ในตอนนี้ ยังอยู่ที่หน้าต่าง "Task Manager" เหมือนเดิมนะครับ  ให้คูณผู้อ่านคลิ้กที่ Tab
"Applications" แล้วก็คลิ้กที่ปุ่ม "New Task..." ที่อยู่มุมล่างขวาสุดของหน้าต่างนี้
จากนั้นจะมีหน้าต่าง "Create New Task" ปรากฏขึ้นมา
ให้คลิ้กที่ช่อง "Open" แล้วป้อนข้อความนี้ลงไป "C:\WINDOWS\explorer.exe" (ไม่ต้องป้อนเครื่องหมายฟันหนูนะครับ) แล้วให้คลิ้ก "Ok"  ดูตาม ตัวอย่างในรูปด้านล่างนี้นะครับ


ซึ่งหลังจากที่คุณผู้อ่านคลิ้ก "Ok" หน้าจอเดสก์ทอป และทาสก์บาร์ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม และรวมทั้งโปรแกรมที่คุณผู้อ่านเปิดค้างไว้ก่อนหน้าที่มันจะแฮ้งค์ ก็ยังกลับมาเหมือนเดิมด้วย

ด้านล่างนี้คือตัวอย่างหน้าจอเดสก์ทอป และทาสก์บาร์ หลังจากที่เราสต้าร์ตโปรเซส "explorer.exe" ขึ้นมาใหม่



เป็นยังไงบ้างครับ อ่านมาเสียยาวเลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในอนาคตกับคุณผู้อ่านอยู่บ้างนะครับ
วันนี้ขอจบบทความเท่านี้ก่อน ขอบคุณและสวัสดีครับ _/\_    :)

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Give him an inch, and he will take a mile

หมายเหตุ  สำนวน นั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า idioms
ซึ่งหมายถึง วลี (ถ้อยคำ) ที่นำมาเรียบเรียงให้มีความหมายพิเศษ หรือความหมายเพื่อการเปรียบเทียบ

สำนวน Give him an inch, and he will take a mile ถ้าแปลตรงตัวก็จะแปลว่า ถ้าเราให้เค้าหนึ่งนิ้ว (นิดนึง) แล้ว เค้าจะเอาเพิ่มเป็นหนึ่งไมล์ (มากขึ้นอีก)

คำหลักๆ ในสำนวนนี้ มีสองคำ คือคำว่า inch และ mile  ซึ่งทั้งสองคำนี้เป็นหน่วยวัดความยาวในระบบอังกฤษ ที่ฝรั่งเค้านิยมใช้กัน   inch ก็คือหน่วยวัดเป็นนิ้ว และ mile ก็คือหน่วยวัด (ระยะทาง) เป็นไมล์

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะร้องอ๋อ กันเป็นทิวแถว เพราะเริ่มจะรู้กันแล้วว่า สำนวนนี้ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ได้คืบ เอาศอก นั่นเอง

สำหรับหน่วยวัดที่เป็น คืบ ศอก วา นี้เป็นหน่วยวัดมาตราไทย แต่คุณผู้อ่านอย่านำหน่วยวัดมาตราไทยนี้ไปสับสนกับ หน่วยวัดความยาวระบบเมตริกที่ประเทศไทยเรานิยมใช้นะครับ ซึ่งหน่วยวัดความยาวระบบเมตริกนี้ก็ได้แก่ มิลลิเมตร เซนติเมตร เมตร และกิโลเมตร นั่นเอง

เอ้า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอบอกความรู้รอบตัวอีกสักนิดก็แล้วกันนะครับ  คุณผู้อ่านทราบมั้ยว่าเรามีหน่วยวัดความเผ็ดของพริกด้วย หน่วยความเผ็ดของพริกคือ สโกวิลล์ ครับ เช่น พริกขี้หนูเผ็ด xxx,xxx สโกวิลล์ เป็นต้น โดยที่ตัวเลขน้อยก็หมายถึงเผ็ดน้อย ตัวเลขมากก็หมายถึงเผ็ดมากครับ

สวัสดีครับ :)

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: It takes two to tango

หมายเหตุ  คำสำนวน นั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า idioms
ซึ่งหมายถึง วลี (ถ้อยคำ) ที่นำมาเรียบเรียงให้มีความหมายพิเศษ หรือความหมายเพื่อการเปรียบเทียบ


สวัสดีครับ อย่างที่ได้เคยเกริ่นเอาไว้ ผมจะเขียนสลับหัวข้อไปเรื่อยๆ นะครับ
สำหรับครั้งนี้ จะมานำเสนอ สำนวนภาษาอังกฤษ ที่ว่า "it takes two to tango".

อันดับแรก ผมขอถามท่านผู้อ่านก่อนว่า มีท่านใดเคยเต้นลีลาศบ้างมั้ยครับ
ถึงไม่เคยเต้น แต่ท่านก็น่าจะเคยสังเกตุเห็นนะครับ ว่าการเต้นลีลาศนั้น ส่วนใหญ่เค้าจะเต้นเป็นคู่ (หมายถึงสองคน) โดยเฉพาะการเต้นแทงโก้

และสำหรับวลีนี้ "it takes two to tango" ถ้าจะแปลตรงตัวเป็นภาษาไทย ก็พอจะแปลได้ว่า "จะเต้นแทงโก้ ก็ต้องมีสองคน (ถึงจะเต้นได้)" หรือจะแปลเป็นว่า "เรื่องบางอย่างจะกระทำโดยฝ่ายเดียวไม่ได้"

และความหมายของสำนวนนี้ก็จะตรงกับสำนวนไทยที่ว่า "ตบมือข้างเดียวไม่ดัง"
ผมขอไม่แปลความหมายของสำนวนไทยนี้นะครับ เพราะทุกท่านก็คงจะทราบกันอยู่แล้ว

สวัสดีครับ  :)

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แนวคิด: เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน

คยมั้ย ที่ของที่ซื้อมาตอนไปเที่ยวเมืองนอก มันสวยถูกใจแถมราคายังไม่แพงอีกต่างหาก นึกวาดภาพว่า กลับไปจะเอาไปอวดเพื่อนว่าไปได้ของดีราคาถูกมาจากเมืองนอก แต่พอซื้อกลับมาถึงบ้าน ถึงค่อยมารู้ว่าของชิ้นนั้น เมด อิน ไทยแลนด์

เคยมั้ย ที่คุณทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว แต่เพื่อนยังทำงานของเค้าไม่เสร็จ และคุณต้องมารอทำงานชิ้นนั้นต่อจากเพื่อนอีกที แต่เพื่อนก็ยังทำไม่เสร็จซักที สุดท้ายเจ้านายก็สั่งให้ไปช่วยเพื่อนทำงานด้วยให้เสร็จ แล้วค่อยมาทำงานของคุณเองต่อ

และ เคยมั้ย ที่สั่งซื้อของจากทางอินเตอร์เน็ท พอของมาถึงกลับพบว่ามีตำหนิที่เกิดจากการผลิต
ถ้าคุณเจอเหตุการณ์ คล้ายๆ กันนี้ คุณจะทำอย่างไร
“ก็เซ็งน่ะสิ ถามได้” :)

คร้าบ ใช่คร้าบ เป็นผม ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่ว่า คำถามของผม ไม่ใช่ถามว่า “รู้สึกยังไง” ผมถามว่า “แล้วคุณรับมือกับมันยังไง” ต่างหาก

“ทำ ใจ” คือคำตอบ อืมม สั้นและก็ง่ายดี หลายคนก็คงทำแบบนั้น
แล้วต่อจากนั้นล่ะ หลังจากที่คุณ “ทำใจ” แล้ว คุณยังมีความสุขกับเรื่องเหล่านั้นต่อไปได้หรือเปล่า
ถ้าคำตอบคือ “ใช่” คุณไม่ต้องอ่านต่อแล้วก็ได้ครับ

แต่ถ้าคำตอบคือ “ไม่ใช่” ผมอยากให้คุณอ่านต่อไปนะครับ
ก็อย่างที่จั่วหัวไว้ครับ ว่า “เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน”

วิธีคิด หรือ ทัศนคติ คือหัวใจสำคัญ ของคำตอบครับ
คิดดี ก็ทำให้คุณรู้สึกดี ยกตัวอย่างเช่น เวลาคุณรักใคร คุณก็มีความรู้สึกดีๆ กับเค้า ตัวคุณเองก็มีความสุขไปด้วย

คิด ไม่ดี ก็ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี เช่น เวลาคุณเกลียด หรืออิจฉาริษยาใคร ความเกลียดต่างๆ เหล่านั้น มันอยู่ในตัวคุณ คนที่คุณเกลียดนั้นเค้าไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย ดังนั้น คุณนั่นเองที่มีความเกลียดนั้น อยู่ในตัวเอง แล้วมันก็คอยบั่นทอนจิตใจคุณ ทำร้ายจิตใจของตัวคุณเอง
เอาล่ะครับ จากคำถามที่เริ่มต้นด้วยคำว่า “เคยมั้ย” เราจะมาดูกันว่า คนที่มีทัศนคติที่ดี จะคิด หรือทำยังไง ผมหวังว่าจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ได้บ้างนะครับ

เคยมั้ย กรณีที่ 1 ที่ของที่ซื้อของมาตอนไปเที่ยวเมืองนอก แล้วมารู้ทีหลังว่าของชิ้นนั้น เมด อิน ไทยแลนด์  ถ้าเจออย่างนี้ ไม่ว่าใครก็คงจะเซ็งอยู่แป๊บนึง แต่ถ้าเราคิดในแง่บวก ก็จะคิดว่า
“เออ เว้ยเฮ้ย อยู่เมืองไทยมาจนแก่ ยังหาซื้อของแบบนี้ไม่ได้ แต่ดันไปหาได้ที่เมืองนอก เจ๋งเหมือนกันเว้ยเรา 555″

เคยมั้ย กรณีที่ 2 ที่คุณทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว แต่เพื่อนยังทำงานของเค้าไม่เสร็จ และคุณต้องมารอทำงานชิ้นนั้นต่อจากเพื่อนอีกที แต่เพื่อนก็ยังทำไม่เสร็จซักที สุดท้ายเจ้านายก็สั่งให้ไปช่วยเพื่อนทำงานด้วยให้เสร็จ แล้วค่อยมาทำงานของคุณเองต่อ
บางคนเจอแบบนี้ อาจจะเซ็งอยู่แป๊บนึง (ความรักในตัวหัวหน้าจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าจะเซ็งนานแค่ไหน อิอิอิ) บางคนก็จะคิดว่า
“เออ ไปช่วยมันทำงานหน่อยก็ได้ (วะ) จะได้รู้งานของมันไปด้วย”
สำหรับคนที่มีทัศนคติที่ดี ถ้าเค้ารู้ก่อนว่างานเพื่อนไม่เสร็จ เค้าจะเข้าไปช่วยเพื่อนเค้าทำเลย โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายมาบอก (ไอ้การนั่งกระดิกนิ้วเท้ารอทำงานของตัวเองอย่างเดียวนี่มันไม่ ค่อยเป็นการสร้างสรรค์เท่าไหร่นัก ฮี่ฮี่) การที่เราเข้าไปช่วยเพื่อนทำงานเลย มีผลลัพธ์สามอย่าง หนึ่งประสิทธิภาพของงานโดยรวมดีขึ้น และงานเสร็จไวขึ้น สองคุณได้ขยายขอบเขตความรู้ของตัวคุณเองออกไปอีก (มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกอย่าง ว่างั้นเถอะ) และสามคือเรื่องน้ำใจและจิตใจล้วนๆ ครับ และผลลัพธ์ที่สี่ ห้า หก จะตามมาอีกเป็นกระบุงโกย ลองดูมั้ยล่ะ

เคยมั้ย กรณีที่ 3 ที่สั่งซื้อของจากทางอินเตอร์เน็ท พอของมาถึงกลับพบว่ามีตำหนิที่เกิดจากการผลิต
ถ้าผมเจออย่างนี้ผมก็เซ็งแน่นอน ที่นี้ ทางเลือกก็มีอยู่สามทางคือ หนึ่งส่งไปเปลี่ยนหรือให้เค้าแก้ไขให้ แล้วส่งกลับมาใหม่ สองคือคืนของพร้อมขอเงินคืน กับสามคือเปลี่ยนความคิดและอยู่กับตำหนินั้น “อย่างมีความสุข”

ซึ่งจากทางเลือกทั้งหมด เราคงจะวิเคราะห์ได้ว่า
หนึ่ง ถ้าส่งไปเปลี่ยน หรือซ่อม ทั้งกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงเดือน แล้วของที่กลับมาอาจจะซ่อมไม่หาย หรือมีตำหนิที่อื่นๆ ได้เหมือนกัน หรือของอาจสูญหายในระหว่างส่งไปกลับก็ได้ และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากกระบวนการส่งไปเคลม มูลค่าของของนั้นก็ไม่ได้สูงนัก
สอง คือคืนของพร้อมขอเงินคืน
สาม มีตำหนิก็ไม่เห็นจะเป็นไร (สมมติว่าของที่เราซื้อนี้เป็นนาฬิกา) นี่แหละจะเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิกาเราเลย ไม่มีของใครเหมือนเรา และถ้ามันหายไปหรือโดนขโมย ตอนได้กลับคืนก็จะบอกได้เลยว่า นาฬิกาเรือนนั้นเป็นของเราจากตำหนิที่เราแจ้ง ไว้นั่นแหละ หรือเวลาแจ้งความ ก็ระบุได้อย่างชัดเจนเลยว่านาฬิกาของเรามีตำหนิอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ซึ่งลอกเลียนแบบไม่ได้ (หลายท่านอาจแย้งว่า ดูที่เลข Serial number ของนาฬิกาก็ได้ แต่บางครั้งขโมยเค้าฝนเลขออกไปน่ะสิ แต่ตำหนินี่เป็นสิ่งที่เรารู้คนเดียว ดังนั้น มันคงลอกเลียนหรือแก้ไขลำบาก)

เมื่อ วิเคราะห์ทางเลือกของกรณีที่สามนี้แล้ว คุณจะเลือกทางเลือกไหนล่ะ ผมขอเลือกข้อสาม และใช้นาฬิกาเรือนนี้อย่างมีความสุขครับ

จากเรื่องด้านบน คงจะพอสรุปได้ว่า วิธีคิดและทัศนคติที่ดีนั้นจะช่วยให้ทั้งเรา และผู้อื่นมีความสุขได้อย่างไร ผมหวังว่ามันคงจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย และถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ลองนำไปประยุกต์ใช้กันดูนะครับ :)