วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Off the Hook

เมื่อวานหลายท่านคงได้ยินข่าวพรรคการเมืองหนึ่งรอดพ้นจากการถูกยุบพรรค  วันนี้ผมก็เลยได้สำนวนสำนวนหนึ่งมาเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง

เริ่มจากศัพท์ในสำนวนก่อนนะครับ  Hook ก็คือ เบ็ดตกปลานั่นเอง  สำนวน Off the Hook นี้ พื้นฐานเค้าเอามาจากการตกปลาครับ ซึ่งหมายถึง เมื่อปลากินเหยื่อ (ที่เกี่ยวไว้กับเบ็ด) แล้วเราดึงเบ็ดขึ้นมา แล้วปลาดิ้นหลุดออกจากเบ็ดได้ นั่นแหละครับ (Off the Hook).

ทีนี้พอเอามาใช้เป็นสำนวน ก็เลยมีความหมายว่า Out of Trouble คือ พ้นเคราะห์ รอดพ้นอันตราย หรือ หลุดพ้นจากสถานะการณ์ลำบาก นั่นเอง

ไหนๆ วันนี้ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ก็ขอแถมความหมายของคำแสลงของ Hook ด้วยก็แล้วกันนะครับ
คำว่า Hooked ในประโยคอย่างเช่น You're hooked (on something) แปลว่า "นายน่ะติดมันจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว" หรือว่าเราจะใช้คำว่า "ถูกหลอกให้หลงไหล" หรือ "งมงาย" มาแทนคำว่า "ติดมันจนหน้ามืดตามัว" ก็ได้ครับ

เรามักจะใช้คำนี้กับคนที่ติดอะไรซักอย่าง เช่น ติดยาเสพติด ติดเหล้า หลงหญิง อะไรทำนองนี้แหละครับ

สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สุขภาพ: กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค

สวัสดีครับ วันนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพซักหน่อยนะครับ ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่าน ก็เลยนำมาลงไว้ให้อ่านกัน  ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีวันดีคืนนะครับ

ที่มา: http://www.noklek.com/wiki2/index.php/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84

กายบริหารแกว่งแขน คือ อะไร?
ประวัติความเป็นมา “กายบริหารแกว่งแขน”
ในปีพุทธศักราช 1070 ซึ่งตรงกับรัชสมัยราชวงศ์เหลียง พระสังฆปรินายกโพธิธรรมชาวอินเดีย หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ต๋า โม๋” (TA MO) ได้เดินทางมายังประเทศจีนและปักหลักเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่นั่นเป็นเวลาหลาย สิบปี ครั้งหนึ่งในระหว่างการเทศนาและการทำสมาธิ ท่านพบพระสงฆ์หลายรูปมีสุขภาพอ่อนแอ และบางรูปถึงกับนอนหลับไปด้วยความเมื่อยล้าอ่อนเพลีย พระโพธิธรรมจึงได้ชี้ให้เห็นว่า “ร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น จึงจะยืนหยัดฝึกจิตบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จ”
ก่อนหน้าที่ท่านจะได้เน้น ถึงความสำคัญของร่างกายอันได้แก่พลังและท่าทางของร่างกายที่เหมาะสมในการฝึก สมาธินั้น พุทธศาสนิกชนต่างเน้นแต่การฝึกจิตโดยละเลยร่างกาย ดังนั้นพระโพธิธรรมจึงได้คิดค้นท่าบริหารร่างกายสำหรับพระสงฆ์ในตอนเช้า เพื่อส่งเสริมสุขภาพและบันทึกขึ้นไว้เป็นคัมภีร์ 3 เล่มได้แก่
  1. คัมภีร์ อี้ จิน จิง คือ วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น
  2. คัมภีร์ สี สุ่ย จิง คือ วิชาชำระไขกระดูกให้สะอาด
  3. สื่อ ปา หลัว ฮั่ว โส่ว คือ เพลงมวยฝ่ามือสิบแปดอรหันต์
ดังนั้น คัมภีร์ อี้ จิน จิง ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์อันล้ำค่าของพระโพธิธรรม (ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง) ก็คือหนังสือกายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรคฉบับนี้
คำ ว่า “เปลี่ยนเส้นเอ็น” มิใช่หมายถึง ผ่าตัดเปลี่ยนเอาเส้นเอ็นออกมาตามความเข้าใจของการแพทย์แผนปัจจุบันแต่เป็น การปรับเปลี่ยนแก้ไขสภาพของเส้นเอ็นด้วยการออกกำลังกายโดยวิธีแกว่งแขนซึ่ง จะส่งผลให้เลือดลมภายในโคจรไหลเวียนได้สะดวก เป็นปกติไม่ติดขัด
ต่อ มา ”คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น” นี้ได้ถูกเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “กายบริหารแกว่างแขนบำบัดโรค” เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ตำรา โบราณนี้จึงเป็นหนังสือวิชาที่เก่าแก่มีอายุถึง 1400 ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติจีน อันมิอาจประมาณค่าได้ชิ้นหนึ่ง

“กายบริหารแกว่งแขน” มีประโยชน์อย่างไร?

กาย บริหารแกว่งแขน เป็นวิธีออกกำลังเพื่อบริหารร่างกายที่มีประโยชน์มากวิธี หนึ่ง หลังจากได้มีการค้นพบและเผยแพร่ตำรานี้ออกมาที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ก็มีประชาชนนิยมทำกายบริหารแบบนี้ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโรคที่ไม่มี ทางรักษาให้หายได้โดยการแพทย์ปัจจุบัน ก็สามารถใช้การบริหารแบบง่ายๆ นี้รักษาให้หายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนแทบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ กายบริหารแกว่งแขนนี้ ทำง่ายหัดง่าย และเป็นเร็ว นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการบำบัดโรคได้รวดเร็วอีกด้วย โรคเรื้อรังมากมายหลายชนิดก็สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยวิธีทำกายบริหารแบบ นี้

เหตุใดการบริหารแกว่งแขนจึงสามารถบำบัดโรคต่างๆได้

สิ่ง ที่เป็นปัญหาเกิดขัดแย้งกันภายในร่างกายของคนเราจนก่อให้เกิดความไม่สบายแก่ ร่างกายนั้น แพทย์จีนแผนโบราณกล่าวว่า เกิดจาก “เลือดลม” เป็นต้นเหตุ หากเลือดลมภายในร่างกายของเราผิดปกติโรคต่างๆ มากมายก็จะเกิดขึ้นกับเราทันที เริ่มแรกจะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง นอนหลับน้อยลง ต่อไปก็จะกระทบกระเทือนถึงสภาพของร่างกายคือทำให้ซูบผอมอ่อนแอเป็นต้น เมื่อเราทำให้เลือดลมเดินสะดวกไม่ติดขัดแล้ว โรคร้ายทั้งหลายก็จะหายไปเอง โดยอาศัยหลักดังกล่าวนี้ การทำกายบริหารแกว่งแขนจึงสามารถแก้ไขเลือดลมและเปลี่ยนแปลงสภาพของร่างกาย หากแก้ให้ถูกจุดสำคัญที่ขัดแย้งกันเสียก่อนได้ เมื่อนั้นปัญหาอื่น ๆ ก็จะแก้ได้ง่ายดายขึ้น
ถ้าเราสังเกตใหัดีจะพบว่า ขณะที่ คนเราเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อันเนื่องมาจากการคร่ำเคร่งปฏิบัติงาน ไม่มีโอกาสเปลี่ยนอริยาบถ จนกระทั่งทนต่อไปไม่ไหวแล้วเราก็จะชูแขน เหยียดขา ยืดตัวจนสุด อย่างที่คนทั่วไปเรียกว่า “บิดขี้เกียจ”ทันทีหลังจากนั้นเราจะรู้สึกสบายตัวกระชุ่มกระชวยขึ้นอย่างบอก ไม่ถูก ซึ่งอาการเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือ “การยึดเส้นเอ็น” ตามความหมายในคัมภีร์โบราณนั่นเอง การที่เส้นเอ็นซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย มีโอกาสยืดขยายหรือถูกนวดเฟ้น จะทำให้เลือดลมภายในสามารถกระจายไหลเวียนได้สะดวก อันเป็นเหตุให้เกิดความผ่อนคลาย หายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเกิดความกระปี้กระเปร่าสดใสขึ้น
และ ที่สำคัญ เลือดลมที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงไปทั่วร่างกายได้อย่างสะดวก จะช่วยเปลี่ยนสภาพอวัยวะที่ แข็งกระด้าง ซึ่งเป็นความผิดปกติ ให้กลับกลายเป็นอ่อนนิ่ม และจากสภาพที่อ่อนแอ่ไม่มีประสทธิภาพ ให้กลับคืนมาเป็นแข็งแรงและมีสมรรถภาพดีขึ้น
แต่โดยทั่วไปคนเรา ได้ละเลยและมองข้ามความสำคัญของการบริหารกายเพื่อยืดขยายเส้นเอ็น ภายในร่างกาย จึงทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวกและติดขัด เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่น้ำมันถูกส่งมาหล่อเลี้ยงไม่สม่ำเสมอ ย่อมเป็นเหตุให้รถที่วิ่งไปมีอาการกระตุก ๆ ไม่ราบรื่น ร่างกายของคนเราก็เช่นกันหาก“เลือดลมติตขัด” ก็จะส่งผลให้ป่วยเป็นโรคต่างๆ สุขภาพจะทรุดโทรมย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ
อันที่จริงการเจ็บป่วยไม่ ว่าจะป่วยเป็นโรคชนิดใด ใช่ว่าจะเป็นเรื้อรังอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีทางแก้ไขเยียวยาก็หาไม่ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะต่อสู้กับโรคชนิดนั้นหรือไม่? หากเราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่เกาะกินเราจนถึงที่สุดแล้ว แน่นอนเหลือเกินเราจะต้องประสบชัยชนะ การบริหารร่างกายโดยวิธีแกว่งแขนนี้มีเหตุผลและหลักวิชาที่ลึกซึ้งแยบยล มิใช่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติไปโดยหลงงมงายขาดเหตุผลแต่อย่างใด
ฉะนั้น ขอให้ผู้ที่ปรารถนาในความมีสุขภาพแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์เพรียบพร้อม ควรศึกษาและทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติไปตามลำดับโดยเริ่มตั้งแต่
  1. เรียนรู้หลักสำคัญพื้นฐานของกายบริหารแกว่งแขน
  2. เคล็ดวิชา 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน
  3. เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน
การ ออกกำลังโดยวธีแกว่งแขนนี้ นับว่าประเสริฐมากและได้ผลเกินคาด ทุกคนควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะมีแแต่ผลดีไม่บังเกิดผลเสียประการใด ข้อสำคัญผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันอดทนต้องยืนหยัดพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ จึงจะบรรลุผลสมความปรารถนา

หลักสำคัญพื้นฐานของกายบริหารแกว่งแขน

๑. ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับช่วงไหล่ (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
๒. ปล่อยมือทั้ง ๒ ข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็งให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
เอวเป็นแกนเพลา
๓. ท้องน้อยหดเข้า เอวตั้งตรง เหยียบหลัง ผ่อนคลายกระดูกลำคอ ศีรษะและปากควรปล่อยไปตามสภาพธรรมชาติ
๔. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส่วนส้นเท้าก็ให้ออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนรู้สึกกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้ (ดูภาพประกอบด้านบน)
๕. สายตาทั้ง ๒ ข้าง ควรมองตรงไปยังจุดใดจุดหนึ่งแล้วมองอยู่ที่เป้าหมายนั้นจุดเดียว สลัดความกังวลหรือความนึกคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ออกให้หมด ให้จุดสนใจความรู้สึกมารวมอยู่ที่เท้าเท่านั้น
๖. การแกว่งแขน ยกมือแกว่งแขนไปข้างหน้าอย่างเบาๆซึ่งตรงกับคำว่า “ว่างและเบา” แกว่งแขนไปข้างหน้าไม่ต้องออกแรง ความสูงของแขนที่แกว่งไปพยายามให้อยู่ระดับที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนไห้สูงเกินไป คือ ให้ทำมุมกับลำตัวประมาณ ๓๐ องศา แล้วตั้งสมาธินับหนึ่ง...สอง...ลาม...ไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังอย่าลืมออกแรงส้นเท้าและลำแขนด้วย เมื่อมือห้อยตรงแล้ว แกร่งขึ้นไปข้างหลังต้องออกแรงหน่อย ตรงกับคำที่ “แน่นหรือหนัก” แกว่งจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อไม่ยอมให้มือสูงไปกว่านั้นอีก เวลาแกว่งแขนกลับให้มีความสูงของแขนถึงลำตัวประมาณ ๖๐ องศา (ดูภาพประกอบ)
สรุปแล้วก็คือ ขณะที่แกว่งแขนไปข้างหลังให้ออกแรงมากหน่อย ส่วนแกว่งไปข้างหน้าไม่ต้องออกแรง คือ ใช้แรงเหวี่ยงให้กลับไปเอง
ก่อน การทำกายบริหารแกว่งแขน ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่คับหรือรัดแน่นเกินไป สะบัดแขน มือ เท้าสักครู่ ให้กล้ามเนื้อและร่างกายผ่อนคลาย หมุนศีรษะไปมาแล้วจัดลักษณะท่าทางให้ถูกต้อง
การทำกายบริหารแกว่งแขนมีวิธีนับอย่างไร
การ แกว่งแขนนับโดยเริ่มออกแรงแกว่งไปข้างหลัง แล้วให้แขนเหวี่ยงกลับมาข้างหน้าเองนับเป็น ๑ ครั้ง แล้วนับสอง..สาม..ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบตามจำนวนที่เรากำหนดไว้
การแกว่งแขนแต่ละครั้งควรใช้เวลานานเท่าไร
เริ่ม แรกที่ทำกายบริหารควรทำตั้งแต่ ๒๐๐-๓๐๐ ครั้งก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นครั้งละ ๑๐๐ ตามลำดับจนกระทั่งถึง ๑๐๐๐-๒๐๐๐ ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาในการบริหารประมาณครั้งละ ๓๐ นาที (แกว่ง ๕๐๐ ครั้งใช้เวลาประมาณ๑๐ นาที) การแกว่งแขนควรทำเวลาไหน
การทำ กายบริหารแกว่งแขน สามารถทำได้ทุกเวลาคือเวลาเช้า กลางวัน และ เวลาค่ำ หรือแม้แต่ยามว่างสัก ๑๐ นาทีก็สามารถทำได้ หากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ควรนั่งพักเสียก่อนสัก ๓๐ นาที แล้วจึงค่อยทำกายบริหาร การแกว่งแขนควควรทำที่ไหน
การทำกายบริหารแกว่งแขนนี้ไม่จำกัดสถานที่ สามารถทำได้ในที่ทำงาน ในบ้าน ฯลฯ
แต่ ถ้าเป็นไปได้ควรทำในที่โล่งซึ่งมีอากาศถ่ายเทสะดวกเช่นในสวน ใต้ต้นไม้ จะเป็นการดีมากหากผู้ปฏิบัติสามารถยืนอยู่บนพื้นดิน หรือสนามหญ้า และที่สำคัญขณะทำกายบริหารแกว่งแขนต้องถอดรองเท้าเสมอ ในหนังสือตำราแพทย์โบราณกล่าวว่า การที่เราได้มีโอกาสเดินด้วยเท้าเปล่า ไปบนพื้นหญ้าที่มีน้ำค้างในยามเช้าเกาะอยู่ นับเป็นผลดีอันวิเศษยิ่งเพราะฝ่าเข้าทั้งสองจะดูดชึมเอาธาตุต่าง ๆ จากน้ำค้างบนใบหญ้า เข้าไปบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพพลาอนามัยที่สมบูรณ์ยอดเยี่ยม

เคล็ดลับ 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน

  1. ส่วนบนควรจะปล่อยให้ว่าง
  2. ส่วนล่างควรจะให้แน่น
  3. ศีรษะควรให้แขวนลอย (มองตรงไปไม่ก้มไม่เงยหน้า)
  4. ปากควรปล่อยให้เงียบสงบตามปกติ
  5. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้ายปล่อยตามสบายไม่เกร็ง
  6. หลังควรยืดตรงให้ตระหง่าน
  7. บั้นเอวควรตั้งตรงเป็นแกนเพลา
  8. ลำแขนควรแกว่งไกว
  9. ข้อศอกควรปล่อยให้ลดต่ำลงตามธรรมชาติ
  10. ข้อมือควรจะปล่อยให้หนักหน่วง
  11. สองมือนั้นควรพายไปตามจังหวะแกว่งแขน
  12. ช่วงท้องควรปล่อยตามสบาย
  13. ช่วงขาควรผ่อนคลายยืนตรงตามธรรมชาติ
  14. บั้นท้าย (ก้น) ควรจะให้งอนขึ้นเล็กน้อย
  15. ส้นเท้าควรจะยืนถ่วงน้ำหนักเหมือนก้อนหิน
  16. ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้น


คำอธิบายเคล็ดลับ 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน

  1. ส่วนบนควรจะปล่อยให้ว่าง หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือ ศีรษะควรปล่อยให้ว่างเปล่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน ควรทำอย่างตั้งอกตั้งใจ มีสมาธิแน่วแน่
  2. ส่วนล่างควรจะให้แน่น หมายถึงส่วนล่างของร่างกายใต้บั้นเอวลงไปต้องให้ลมปราณเดินให้สะดวก เพื่อให้เกิดพลังสมบูรณ์ ฉะนั้นคำว่า "ส่วนบนว่างส่วนล่างแน่น" ซึ่งเป็นตัวสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารแกว่งแขน หากเวลาทำการบริหารไม่สามารถเข้าถึงจุดนี้ได้แล้ว ก็จะทำให้ได้ผลน้อยลงไปมากทีเดียว
  3. ศีรษะควรให้แขวนลอย หมายถึง ศีรษะของท่านจะต้องปล่อยสบายๆ ประหนึ่งแขวนลอยไว้ในอากาศ กล้ามเนื้อคอจะต้องปล่อยให้ผ่อนคลาย ไม่เกร็งไม่ควรโน้มไปข้างหน้าหงายไปข้างหลังหรือเอียงไปข้างๆ
  4. ปากควรปล่อยให้เงียบตามปกติ หมายถึง ไม่ควรหุบปากแน่น หรืออ้าปากไปตามจังหวะที่ออกแรงแกว่งแขน ไม่ควรให้อ้าปากตามใจชอบ ให้หุบปากเพียงเล็กน้อยโดยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คือไม่เม้มริมฝีปากจนแน่น
  5. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้าย คือกล้ามเนื้อทุกส่วนบนทรวงอก ต้องให้ผ่อนคลายแบบธรรมชาติ เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกร็งก็จะอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย
  6. หลังควรยืนตรงให้ตระหง่าน หมายความว่าไม่แอ่นหน้าแอ่นหลัง หรือก้มตัวจนหลังโก่ง ต้องปล่อยแผ่นหลังให้ยืดตรงตามธรรมชาติ
  7. บั้นเอวควรตั้งตรงเป็นแกนเพลา หมายถึงบั้นเอวต้องให้เหมือนเพลารถต้องให้อยู่ในลักษณะตั้งตรง
  8. ลำแขนแกว่งไกว หมายถึงแกว่งแขนทั้งสองข้างไปมา
  9. ข้อศอกควรปล่อยให้ลดต่ำลงตามธรรมชาติ หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าและข้างหลัง อย่าให้แขนแข็งทื่อ ควรให้งอศอกเล็กน้อยตามธรรมชาติ
  10. ข้อมือควรจะปล่อยให้หนักหน่วง หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้งสองนั้นควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ข้อมือ เมื่อไม่เกร็งแล้วจะรู้สึกคล้ายมือหนักเหมือนลูกตุ้มถ่วงอยู่ปลายแขน
  11. สองมือนั้นควรพายไปตามจังหวะแกว่งแขน หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนนั้น ฝ่ามือด้านในหันไปด้านหลัง ทำคล้ายกับท่าพายเรือ
  12. ช่วงท้องควรปล่อยตามสบาย หมายถึง เมื่อกล้ามเนื้อท้องถูกปล่อยให้ผ่อนคลายแล้วจะรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น
  13. ช่วงขาควรผ่อนคลาย หมายถึง ขณะที่ยืนให้เท้าทั้งสองแยกห่างกันนั้นควรผ่อนกล้ามเนื้อที่ช่วงขา
  14. บั้นท้าย (ก้น) ควรจะให้งอนขึ้นเล็กน้อย ระหว่างทำกายบริหารนั้นต้องหดก้น(ขมิบ) คล้ายยกสูงให้หดหายไปในลำไส้
  15. ส้นเท้าควรยืนถ่วงน้ำหนักเสมือนก้อนหิน หมายถึงการยืนด้วยส้นเท้าที่มั่นคงยึดแน่นเหมือนก้อนหินไม่มีการสั่นคลอน
  16. ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องจิกแน่นกับพื้น หมายถึงขณะที่ยืนนั้น ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้นเพื่อยึดให้มั่นคง

เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน

เคล็ด ลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขนคือ “บน สาม ล่าง เจ็ด” ส่วนบน “ว่างและเบา” เรียกว่า “บนสาม” แต่ส่วนล่าง “แน่นและหนัก” เรียกว่า “ล่างเจ็ด” เคล็ด ลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน คือส่วนบนว่างและเบาแต่ส่วนล่างแน่นและหนัก การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไม ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วแกว่งแขนทั้งสองข้างนี่แหละที่จะช่วยให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เพราะ “ส่วนบนแข็งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ” ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็น “ผู้ที่มีร่างกายส่วนล่างแข็งแรงและส่วนบนกระชุ่มกระชวย” อันเป็นลักษณะที่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้โรคภัยทั้งหลายในร่างกายถูกขจัดออกไปเองจนหมด

อธิบายเคล็ดลับพิเศษ “บน สาม ล่าง เจ็ด”
คำว่า “บน สาม ล่าง เจ็ด” หมายถึง อัตราส่วนเปรียบเทียบ การออกแรงมากหรือน้อย
“บน” หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือ มือ
“ล่าง” หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือ เท้า
“บนสาม” คือ ใช้แรงส่วนบนสามส่วน
“ล่างเจ็ด” คือ ใช้แรงส่วนล่างเจ็ดส่วน
เคล็ดวิชาคำว่า “บน สาม ล่าง เจ็ด” มีความหมาย 2 ประการ คือ
ประการที่ 1 ในการออกแรงแกว่งแขน หมายถึง เวลาแกว่งแขนขึ้นข้างบน ใช้แรงเพียงสามส่วน เวลาแกว่งลงต่ำมาข้างล่าง ใช้แรงเจ็ดส่วน
ประการ ที่ 2 ในการออกแรงทั้งตัว หมายถึง ถ้าจะนับกันทั้งตัว การออกแรงก็มีอัตราส่วนเปรียบเทียบบนกับล่างเท่ากับสามต่อเจ็ด คือแกว่งแขนไปข้างหน้านั้น จะเบาหรือแรงก็ได้ แต่มือจะต้องให้ได้ส่วนกับเท้าสามต่อเจ็ดอยู่ตลอดเวลา เมื่อแกว่งแขนแรง เท้าก็ต้องออกแรงยิ่งกว่านั้น นี่คือความหมายที่กล่าวไว้ว่า "ส่วนบนว่าง ส่วนล่างแน่น" หรือบนสามล่างเจ็ด
เมื่อแขนออกแรงเท้าไม่ออกแรงก็ทำได้ไม่ สมบูรณ์ คือรู้จักใช้แต่แขนลืมใช้เท้า การที่ไม่ต้องการให้ออกแรง มิใช่ว่าจะปล่อยเลยทีเดียว การที่ให้ออกแรงก็มิใช่ว่าให้ออกแรงจนสุดแรงเกิด การปล่อยให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายโดยไม่ออกแรงเลยจนนิดเดียวก็จะไม่ได้ผล เพราะผิดหลักผิดอยู่ที่อัตราส่วนการออกแรงที่เท้าน้อยไป คือ เท้ากับส่วนบนนั่นเองหรือหากแขนจะออกแรงมากไปสักหน่อย ก็จะกลับตาละปัตร ก็จะกลายเป็นว่าส่วนล่างว่าง ส่วนบนแน่นเกินไป
การแกว่งแขน ข้อสำคัญต้องระวังที่แขนให้มาก เมื่อต้องการให้ออกแรง ก็มักจะคิดแต่การออกแรงที่แขน ลืมไปว่ายังมีเท้ายังมีเอวที่จะต้องมีส่วนช่วยในการเคลื่อนไหวเหมือนกัน
การ เคลื่อนไหวออกแรงของเท้าและเอวนี้สำคัญมากกว่าแขนเสียอีก การที่กล่าวเช่นนี้ บางท่านอาจไม่เข้าใจ หากเคยฝึกมวยจีนไท้เก็กหรือหลักจิตแพทย์จีนสมัยโบราณเกี่ยวกับเส้นเอ็น หรือชีพจร แล้วก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก แขนที่แกว่งนั้นจะแกว่งไปจากเอวของเรา แต่รากฐานของเอวอยู่ที่เท้า เมื่อเป็นเช่นนี้หากส่วนบน (แขน) ออกแรงแกว่งสะบัดแต่ส่วนล่าง (เท้า) ไม่ออกแรงยึดเกาะพื้นไว้ให้มั่นคง เราก็จะเสียการทรงตัวขาดการสมดุลย์กัน ส่วนมากคนเราจะทราบว่าเวลาเราขึ้นรถหรือลงเรือ และเสียหลักเซล้มลงเนื่องมาจากเสียการทรงตัวขาดการสมดุลย์กัน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังจำนวนไม่น้อย ก็เพราะขาดการสมดุลย์กัน เป็นอัมพาตก็เพราะขาดการสมดุลย์ ความดีเด่นของการแกว่งแขนเท่าที่ปรากฏมาให้เห็นชัดก็คือสามารถช่วยแก้ไขและ ปรับการไม่สมดุลย์ของร่างกาย
เมื่อเราจะแก้ไขและปรับความสมดุลย์ของ ร่างกาย แล้วทำไมจะต้องออกกำลังเท้าด้วย? ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่ฝ่าเท้าของคนเรามีจุด ซึ่งทางแพทย์จีนเรียกว่า “จุดน้ำพุ” จุดนี้ติดต่อไปถึงไตหากหัวใจเต้นแรงหรือไม่นอนหลับ ถ้ามีการบีบนวดตรงจุดน้ำพุนี้ ก็สามารถทำให้ประสาทสงบ แก้โรคนอนไม่หลับได้ ตามตำรายังกล่าวไว้ว่า “ที่เท้ามีจุดอีกหลายจุดเกี่ยวโยงไปถึงอวัยวะภายในของคนเรา” เมื่อทราบตำแหน่งของจุดนั้นๆ แล้วก็สามารถรักษาโรคซึ่งเกิดกับอวัยวะนั้นได้เช่นกัน
ดังนั้นการออกกำลังโดยวิธีแกว่งแขนก็คือการปรับร่างกายให้สมดุลย์ ซึ่งเป็นการบำบัดรักษาโรคนั่นเอง การ ที่มีคำกล่าวว่า “โรคร้อยแปดอาจรักษาให้หายได้ด้วยเข็มเพียงเล่มเดียว” หลายคนคิดว่าออกจะเป็นการอวดอ้างเกินความจริง แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้วิธีการรักษาโรคได้โดยการฝังเข็มและประกอบด้วยการ บีบนวดนั้น ไม่ใช่รักษาโรคร้อยแปด ฉะนั้นการที่จะกล่าวว่าการแกว่งแขนสามารถรักษาโรคได้ร้อยแปดนั้น คงคิดว่าไม่ใช่เป็นการอวดอ้างเกินความจริงแน่ เพราะกายบริหารแกว่งแขนก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในตัวเองอยู่แล้ว
เคล็ด ลับวิชาทั้ง 16 ประการและเคล็ดลับพิเศษในการบริหารแกว่งแขนดังได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ 
ขอให้ทุกท่านอ่านทบทวนจนเข้าใจแจ่มแจ้งดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ จะทำให้ได้รับผลยอดเยี่ยมครบสมบูรณ์

ข้อแนะนำ

การ แกว่งแขนต้องอาศัยความอดทน การแกว่งแขนแต่ละครั้งจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนว่า อ่อนแอหรือแข็งแรงเพียงใด อย่าใจร้อน อย่าฝืน แต่ก็ไม่ไช่ทำตามสบาย เพราะหากปล่อยตามใจชอบแล้ว ก็จะขาดความเชื่อมั่นต่อการออกกำลังกาย และจะไม่บังเกิดผลเมื่อเริ่มปฏิบัติอย่าออกแรงหักโหมมากเกินไปให้แกว่งไปตาม ปกติทำอย่างนิ่มนวล ไม่ใช่แกว่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ควรทำจิตใจให้เป็นสมาธิ อย่าฟุ้งซ่าน ถ้าหากไม่มีสมาธิแล้วเลือดก็จะหมุนเวียนสับสนไม่เป็นระเบียบ ทำให้การปฏิบัติไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่
กายบริหารแกว่งแขนนี้เมื่อปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำสามารถบำบัดโรคร้ายแรงและเรื้อรังต่างๆ ให้หายได้
ส่วน ผู้ที่มีร่างกายปกติ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้อารมณ์แจ่มใสจิตใจเบิกบานและเป็นสุขหลังจากการทำกายบริหารแกว่งแขน แล้ว ควรเดินพักตามสบายเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
แค่ขยับ = ออกกำลังกาย สุขภาพดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องทำเอา

อ้างอิง