วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เพลง: Letters from the Wasteland

สวัสดีครับ
จากคราวที่แล้ว ที่ได้แนะนำเพลง Hand Me Down ของวง The Wallflowers ให้คุณผู้อ่านลองฟัง ปรากฎว่ามีคนขอเพิ่มอีกเพลงนึง จากวงเดียวกันครับ  

Letters from the Wasteland: เป็นเพลงร๊อคที่เล่าเรื่องราว โดยใช้ภาษากึ่งวรรณกรรม ที่มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรย และมีการเล่าเรื่องแบบตัดฉาก สลับไปโน่นที มานี่ที  ซึ่งทำให้ผู้ฟังต้องคอยคิดจินตนาการตามไปตลอดเวลา  

เพลงนี้จะเล่าถึงผู้ชายคนหนึ่งที่โดนผู้หญิงทอดทิ้งไป แต่ชายคนนี้ก็ยังตัดใจจากผู้หญิงไม่ขาด และยังเฝ้ารอให้ผู้หญิงที่เค้ารัก กลับมาคืนดีกัน  ประโยคนึงในเพลง ที่บอกว่า "send back letters from the wasteland home where I slow dance to this romance on my own."  เป็นการเปรียบเทียบความรักของชายหนุ่มคนนี้ว่า การที่เขาให้ความรักไปแล้ว ถึงฝ่ายหญิงจะไม่ใยดี เขาก็ยังพยายามงอนง้อต่อไป ซึ่งก็เหมือนจดหมายที่ส่งไปแล้ว แต่ถูกตีคืน (เพราะไม่มีผู้รับปลายทาง) แต่เขาก็ยังคอยส่งจดหมายต่อไปอยู่เสมอ  แถมยังย้ำด้วยว่า เขาส่งจดหมายจากดินแดนที่แสนจะอ้างว้างห่างไกล ที่ที่เขาต้องเต้นรำกับบทเพลงที่แสนโรแมนติกอยู่อย่างเดียวดาย  (ตามปกติ เราจะเต้นรำกันเป็นคู่ เช่นการเต้นแทงโก้)

นอกเหนือจากประโยคไฮไล้ท์ด้านบนแล้ว มีเนื้อร้องของเพลงนี้อยู่อีกท่อนนึงที่น่าสนใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าคนแต่งเพลงจะทำการบ้านได้ลึกซึ้งขนาดนี้  เนื้อร้องท่อนนี้มีอยู่ว่า

“In this smoke-filled waiting room
With incarcerated love sick fools
I will wait for you to cut me loose”

ที่ผมคิดว่ามันลึกซึ้ง ก็เพราะผู้แต่งผูกโยงเนื้อเพลงเข้ากับเรื่อง smoke-filled waiting room  ซึ่งเรื่องนี้เป็นงานวิจัยทางด้านจิตวิทยา ในปี ค.ศ. 1968 ครับ งานวิจัยนี้ว่าด้วยเรื่องของ group pressure (แรงกดดันของคนหมู่มาก)  งานวิจัยนี้สรุปจากการทดลองหลายๆ ครั้งว่า หากทดลองให้คนคนเดียวนั่งทำงานในห้อง แล้วอยู่ๆ มีควันพ่นเข้ามาในห้อง คนคนนั้นก็จะออกจากห้องไปแจ้ง หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ที่อยู่ด้านนอกห้อง  แต่หากทดลองให้คนหลายๆ คนนั่งทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วมีควันพ่นเข้ามาในห้อง  ถ้าคนส่วนใหญ่ในห้องไม่มีปฏิกิริยาอย่างไร (รู้สึกเฉยๆ) ต่อควันที่พ่นเข้ามา  ถึงแม้ว่าคนส่วนน้อยในห้องรู้สึกว่าควันที่พ่นเข้ามาในห้องมันเป็นเรื่องผิดปกติ แต่เมื่อเห็นคนส่วนใหญ่เฉยๆ กับควัน  คนส่วนน้อยนั้นก็จะทนนั่งดมควันอยู่ โดยไม่ออกไปแจ้ง หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นที่อยู่ด้านนอกห้อง  เขาจะนั่งอยู่จนกว่าเขาจะทำงานเสร็จ (หรือหมดเวลา)  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เมื่อเราเห็นคนอื่นเฉยๆ กับเหตุการณ์แปลกๆ ใดใด เราก็เลยรู้สึกลังเลว่ามันอาจเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติ เราก็เลยอยู่เฉยๆ ไปด้วย  หรือไม่ก็ เราจะรอจนกว่าจะมีใครเป็นคนเริ่มมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนั้นก่อน (คือทุกคนได้แต่รอให้คนอื่นเป็นผู้เริ่มก่อน ซึ่งบ่อยครั้งจะไม่มีใครเป็นคนเริ่มเลยเสียด้วยซ้ำ)

ทีนี้ผู้แต่งเพลงก็เลยจับเอาหัวข้องานวิจัยนี้มาอุปมาอุปไมยในเพลง ว่าตัวละครในเพลงนี้ก็เหมือนกับคนที่นั่งอยู่ในห้อง smoke-filled waiting room ท่ามกลางกลุ่มคนที่งมงายในความรักอีกหลายๆ คน และถึงแม้ว่าตัวเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาก็ไม่ได้ร้องขอให้ใครอื่นมาช่วยเหลือ  ได้แต่เฝ้ารอให้เธอคนเดียวเท่านั้นมาช่วยเหลือ

แหะ แหะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งอาเจียนนะครับ  ไปฟังเพลงกันก่อน รับรองได้ว่าสนุก ฟังแล้วอารมณ์ดีเลยครับ 

หมายเหตุ  ในขณะที่ฟังเพลงนี้ ผมลองนั่งจินตนาการตามเพลงไปว่า หากผมเป็นคนแต่งเพลงนี้ และกำลังเล่าถึงเรื่องราวของตัวละครผู้ชายคนหนึ่ง จากเนื้อเพลงโดยรวม ตัวละครนี้น่าจะเปรียบได้กับอะไร  จากที่ได้ปรึกษากับน้องที่เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ เค้าบอกว่าอาชีพของชายหนุ่มคนนี้คือ ชาวนา ครับ  ส่วนผมเอง ผมคิดว่าเป็น ผู้คุมนักโทษ
แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดว่าตัวละครในเนื้อร้องของเพลงนี้คืออะไร   ผมรอฟังความคิดเห็นของทุกคนอยู่นะครับ 


ขอบคุณ และสวัสดีครับ





Lyrics: Letters from the Wasteland (The Wallflowers)

Now coming down out of this swan dive to your arms
I make no sounds when I move through your reservoir

But I wake up quick
And I wake up sick
As you....
Abandon me into these fields of rank and file

Through this crowd I hear your breathing
Through these bars I watch them bring more in

Now I send back letters from the wasteland home
Where I slow dance to this romance on my own
It may be two to tango
But boy, it's one to let go
It's just one to let go

Now boy keep still
Now don't spread yourself around
Now get back in line
Eat your bread and just work the plow
'Cause you're not through
They're not done with you
Did you... think you were the only one that's been let down?

So, sleep tight little boys of the new damned
Another drop in the tidal wave of quicksand
Now I send back letters from the wasteland home
Where I slowdance to this romance on my own
It may take two to tango
But boy, it's one to let go

Now another bad idea gets through
Down the assembly line to you
You're every bridge I should have burned
Every lesson I've unlearned

In this smoke-filled waiting room
With incarcerated love sick fools
I will wait for you to cut me loose

But 'till then I'll...
Send back letters from wasteland home
Where I slowdance to this romance on my own
Now I send back letters from the wasteland home
From where I slowdance to this romance on my own


วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เพลง: Hand-me-down

วันนี้มาชวนไปฟังเพลงเพราะอีกเพลงนึงนะครับ  เพลงนี้สะดุดใจผมตั้งแต่เห็นชื่อเพลงแล้วครับ

ชื่อเพลง "Hand me down" แปลว่า ของมือสอง หรือของใช้แล้ว ซึ่งจะใช้กับสินค้า หรือคน ก็ได้ครับ โดยถ้าใช้กับคน ก็จะสื่อความรู้สึกของผู้พูดไปในทางลบ ถากถาง เช่น ผู้ชายมือสอง ผู้หญิงมือสอง  แต่ถ้าใช้กับสินค้า เช่น เสื้อผ้า ก็หมายถึงเป็นของมือสอง ที่เราไปซื้อมาใช้อีกทอดนึง ครับ

สำหรับความหมายของเพลงนี้ ก็มีคนตีความแตกต่างกันไป เป็นสองความคิดเห็นครับ  กระแสนึงก็บอกว่าเป็นการพูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักระหว่างพ่อกับลูก ที่ผู้พ่อ (ในที่นี้คือ Bob Dylan นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดัง) ประสพความสำเร็จมากในอาชีพ และไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว  จึงเป็นสาเหตุให้  Jacob Dylan (คนที่แต่งและร้องเพลงนี้ ซึ่งเค้าเป็นลูกชายของ Bob Dylan) เติบโตขึ้นมาแบบไม่ค่อยสนิทสนมกับพ่อนัก และ Jacob จึงแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่ออุปมาอุปไมยความรู้สึกของเค้าที่มีต่อพ่อ

ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อร้องของเพลงนี้อีกกระแสนึง ก็ตีความแบบตรงไปตรงมาจากเนื้อเพลงเลย ซึ่งก็คือ เนื้อเพลงพูดถึง ตัวตุ๊กตาที่ตั้งโชว์ไว้ ว่ามันเป็นของที่ไม่ค่อยมีค่าในสายตาและความคิดของเจ้าของอีกต่อไป ดังนั้นเจ้าของก็จะเอาไปขายและหาซื้อตัวใหม่มาแทน

แล้วคุณผู้อ่านคิดอย่างไรกับเนื้อหาของเพลงนี้กันบ้าง ก็โปรดให้ความคิดเห็นกันด้วยนะครับ :)




Lyrics: Hand me Down (by The Wallflowers)

You won't ever amount too much
You won't be anyone
Now tell me what you were thinking of
How could you think you would be enough
It's not that you have stayed too long
And it's not that you've done something wrong
It's not your fault
That you embarass us all

You're a Hand me down
It's better when you're not around
You feel good
And you look like you should
But you won't ever make us proud

You've been used by an army of kings
You've been touched by lips of a queen
Now we've all made good use of you
But you won't be needed again

So why don't you move and let someone else in
And make some room for a new harlequin
'Cause you never know
When you'll disappoint us again

You're a Hand me down
It's better when you're not around
You feel good
And you look like you should
But you won't ever make us proud

Now you're a Hand me down
It's better when you're not around
You feel good
And you look like you should
But you could never make us proud
Hand me down

Now look at you with your worn out shoes
Living proof evolution is through
We're stuck with you
Revolution is doomed

'Cause you're a Hand me down
It's better when you're not around
You feel good
And you look like you should
But you could never make us proud

You're a Hand me down
It's better when you're not around
You feel good
And you look like you should
But you won't ever make us proud.

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สำนวนไทย: จับได้คาหนังคาเขา

เมื่อวานผมได้ดูหนังต่างประเทศเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเอกของเรื่องพาเด็กไปเดินเที่ยว แล้วเด็กเกิดปวดฉี่ขึ้นมากะทันหัน เขาจึงพาเด็กไปขอเข้าห้องน้ำที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ปรากฏว่า บริกรของร้านไม่ยอมให้เข้า พร้อมกับไล่ให้ไปที่อื่น  ด้วยความโกรธ พ่อหนุ่มนั่นจึงพาเด็กไปยืนฉี่ใส่ประตูไม้หรูที่ด้านข้างของร้านอาหารนั้นซะเลย (นัยว่าเพื่อเป็นการระบายแค้น)  ทีนี้เด็กฉี่ไม่ออก เพราะความกลัวหรือความอายก็ไม่ทราบได้  พ่อหนุ่มเลยยืนฉี่เป็นเพื่อน  ขณะที่กำลังยืนฉี่กันอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น บริกรของร้านก็เดินมาจ๊ะเอ๋เข้าพอดี

เหตุการณ์อย่างนี้แหละครับที่เรียกว่า (ถูก)จับได้คาหนังคาเขา

สำหรับที่มาของสำนวนไทยนี้ สันนิษฐานว่ามาจากในสมัยก่อน ที่มีโจรลักวัวควายเขาฆ่า (เพื่อเอาเนื้อ หนัง และเขาไปขาย)  แล้วโจรถูกจับได้ โดยที่หนังและเขายังคามืออยู่  หมายความว่าทำผิดแล้วถูกจับได้ พร้อมของกลางอยู่ที่ตัว (หรือมีหลักฐานอยู่ตรงหน้า หรือเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้า) ครับ

ส่วนสำนวนภาษาอังกฤษที่ตรงกับสำนวนไทยนี้ก็คือ Catch Red-handed ครับ แต่เวลานำไปใช้ เรามักจะใช้ว่า Caught red-handed ครับ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เรามักจะใช้มันในรูป passive voice (ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ) ครับ ยกตัวอย่างเช่น  The thief was caught red-handed. (เจ้าหัวขโมยถูกจับได้คาหนังคาเขา)

ครับ ไหนไหนก็พูดเรื่อง Catch (กับ Caught) แล้ว ผมขอแถมอีกสำนวนนึงก็แล้วกัน  Catch with One’s Pants Down  สำนวนนี้หมายถึง การตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าละอาย หรือน่าขายหน้า ครับ ซึ่งดูที่คำที่ใช้ว่า pants down ก็แปลว่ากางเกงหลุด นี่ก็พอจะเดาความหมายได้แล้วว่าต้องขายหน้าแน่นอน  และเวลาที่คุณผู้อ่านนำไปใช้ ก็จะต้องใช้หลักการเดียวกันกับสำนวนแรกเช่นกันครับ คือ ต้องใช้ในรูป passive voice ยกตัวอย่างเช่น The singer did not prepare well, therefore he was caught with his pants down at the concert.  (นักร้องคนนั้นเตรียมตัวมาไม่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องขายหน้ากลางงานแสดงคอนเสิร์ต)

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เพลง: Studebaker (by Warren Zezon)

สำหรับอาทิตย์นี้ก็ยังคงนำเสนอเพลงเพราะมาให้ทุกท่านได้ฟังกันนะครับ

เพลง Studebaker นี้เป็นการรำพึงรำพันของนักร้อง เกี่ยวกับรถยนต์คู่ใจที่ "สวยแต่รูป จูบไม่หอม"  :)   สามวันดี สี่วันเจ๊ง จะขับไปไหนที เดี๋ยวไอ้นั่นก็เสีย ไอ้นี่ก็พัง

ซึ่งถ้าอ่านแต่เนื้อเพลงอย่างเดียว ทุกท่านก็คงจะขอผ่าน เพราะไม่น่าสนใจซะเลย แต่ทีเด็ดของเพลงนี้คือดนตรีครับ เมโลดี้สวยงามมาก ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่าเนื้อร้องจะสวนทางกับดนตรีขนาดนี้  พอฟังไปฟังไปบ่อยๆ เข้า ก็เลยทำให้เข้าใจผู้แต่งเพลงนี้แล้วว่า ความรู้สึก "ทั้งรัก ทั้งเจ็บ" เป็นยังไง

ลองไปฟังกันดูนะครับ :)




                    Studebaker
Originally recorded by Warrens son Jordan for the "Enjoy Every Sandwich" tribute album, 
this is a song that Warren wrote and never released.

G D Em C G D Em C

    G                               D
I left my home in Monterey, just another low prospects man
     Am                                 Em
I'd rather work in a foundry than put fishes in a can
     C                 G                D
I'm thirty-five and I haven't traveled far
          Am                                     Em   C
And I've spent all my money on this misbegotten car

    Bm                         C
I'm up against it all like a leaf against the wind
           C        Em                 C
And this Studebaker keeps on breaking down again
    Am   G    D         C        G
My Studebaker keeps on breaking down again
   G7                                C
I thought I'd go to Fresno just to see my friend
        D    G    C     G        D             G
But my damn Studebaker keeps on breaking down again

D Em C G D Em C

        G                                     D
I was speeding south on ninety-nine when the manifold started smokin'
   Am                            Em            C
I ran her off the shoulder, and now the axle's broken
                      G                     D
It made a sound that cracked my heart in half
          Am                             Em   C
And with only half a half pint of vodka left

I'm up against it all like a leaf against the wind
And this Studebaker keeps on breaking down again
My Studebaker keeps on breaking down away
I thought I'd go to Fresno just to see my friend
But my damn Studebaker keeps on breaking down again

G D Em C G D Em C

     G         Em                 C
My Studebaker keeps on breaking down again
    Am   G     D        C        G
My Studebaker keeps on breaking down again
    G7                                 C
I thought I'd go to Fresno just to see my friend
        D     G   C      G       D              G
But my damn Studebaker keeps on breaking down again

G D Em C G D Em C

Thanks to the lyrics source: http://tabs.ultimate-guitar.com/w/warren_zevon/studebaker_crd.htm

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เพลง: Don't Let Us Get Sick

เพลงความหมายดีๆ มีมาให้ฟังอีกแล้วครับ คราวนี้เป็นเพลงของ Warren Zevon ชื่อเพลงว่า
Don't Let Us Get Sick.

สำหรับเพลงนี้ ผมขอตั้งชื่อเพลงเป็นภาษาไทยเองว่า  คำอธิษฐานของหนูน้อย
เนื้อเพลงอยู่ด้านล่างนะครับ สังเกตุเนื้อเพลงท่อนที่สอง ที่เขียนว่า "I thought of my friends
And the troubles they've had. To keep me from thinking of mine." ซึ่งพอจะแปลหลวมๆได้ว่า "ความทุกข์ที่เพื่อนของหนูได้รับ มันทำให้หนูลืมความทุกข์ของหนูไปเลย" ความหมายของมันก็ค่อนข้างตรงตัวและใช้เตือนใจเราได้ดี ว่าถ้าเราคิดว่าเราทุกข์สุดๆแล้ว ให้ลองมองผู้คนรอบๆตัวบ้าง แล้วเราอาจจะเห็นว่ามีคนที่ทุกข์หนักกว่าเราอีกมากมาย
สุขและทุกข์อยู่ที่ใจครับ ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะครับ


"Don't Let Us Get Sick" by Warren Zevon, Sang by Jill Sobule

Don't let us get sick
Don't let us get old
Don't let us get stupid, all right?
Just make us be brave
And make us play nice
And let us be together tonight

The sky was on fire
When I walked to the mill
To take up the slack in the line
I thought of my friends
And the troubles they've had
To keep me from thinking of mine

Don't let us get sick
Don't let us get old
Don't let us get stupid, all right?
Just make us be brave
And make us play nice
And let us be together tonight

The moon has a face
And it smiles on the lake
And causes the ripples in Time
I'm lucky to be here
With someone I like
Who maketh my spirit to shine

Don't let us get sick
Don't let us get old
Don't let us get stupid, all right?
Just make us be brave
And make us play nice
And let us be together tonight.