วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Morning, noon and night

เมื่อต้นอาทิตย์ มีเพื่อนคนนึงในเฟซบุ๊ก แนบลิ้งค์ฟังเพลงเพราะในอดีต ที่ชื่อเพลงว่า พรหมลิขิต มาให้ฟัง แล้วกลายเป็นว่าโดนเพื่อนอีกคนแซวว่าแก่  ก็แซวกันไปตามประสาเพื่อน  แต่การแซวครั้งนั้นกลับมาสะกิดให้ผมนึกถึงเพลงอีกเพลงนึงที่เก่ากว่าซะอีก

เพลงที่ว่านั่นก็คือเพลง ขวัญเรียม จากภาพยนต์เรื่อง "แผลเก่า" นั่นเอง  เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายของเพลงนี้เค้าร้องว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่นกับเรียม 

สำนวน Morning, noon and night ก็เปรียบได้กับคำภาษาไทย เช้า สาย บ่าย เย็น นี่แหละครับ (แต่คุณผู้อ่านจะใช้คำว่า เช้า สาย บ่าย ค่ำ ก็ไม่ผิดครับ) ความหมายของสำนวนทั้งสองภาษานี้ก็เหมือนกันคือแปลว่า ทุกเวลา หรือ ตลอดเวลา ครับ 

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมขอยกตัวอย่างประโยคหวานๆ ซักประโยคนึงก็แล้วกันนะครับ
 I miss you morning, noon and night.  ซึ่งก็แปลว่า ผมคิดถึงคุณตลอดเวลา  

เป็นยังไงครับ หวานจนเลี่ยนมั้ย :)

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: To make ends meet

เฮ้อ! สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน แต่ทำงานมากี่ปีต่อกี่ปีเงินเดือนก็ยังได้เท่าเดิม ช่วงปลายเดือนทีไรดูเหมือนว่าเงินจะไม่ค่อยพอใช้ จะซื้อของกินของใช้ก็ต้องกระเหม็ดกระแหม่ รัดเข็มขัดเสียจนหน้าเขียว 

ผมคิดว่าคุณผู้อ่านหลายคน ก็คงจะเคยรู้สึกอย่างนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย  นี่แหละครับเป็นที่มาของสำนวนวันนี้ To make ends meet 

จากสำนวนนี้ ถ้าแปลกันตรงตัว คุณผู้อ่านก็คงจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนนัก (แปลตรงตัวได้ว่า จับเอาปลายมาชนกัน)  ดังนั้นเรามาดูความหมายที่แท้จริงกันเลยดีกว่านะครับ  ฝรั่งเค้าใช้สำนวนนี้ในความหมายที่ว่า (ทำงาน)หาเงินให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย  ซึ่งก็จะตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ชักหน้าให้ถึงหลัง นั่นเองครับ

และถ้าคุณผู้อ่านต้องการจะพูดว่า ชักหน้าไม่ถึงหลัง ล่ะก็ คุณผู้อ่านก็ต้องใช้ว่า Unable to make ends meet นะครับ  สำหรับผม ตอนนี้ก็ต้องขอตัวไปทำบัญชีรายรับรายจ่ายง่ายๆ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายก่อนนะครับ

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Pain in the ass หรือ Pain in the neck

ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านเคยมีอาการคอตกหมอนกันบ้างมั้ยครับ  ถ้าเคยเป็น คุณคงจะเห็นด้วยกับผมว่าอาการเหล่านี้มันน่าหงุดหงิดรำคาญมาก  จะหันมองอะไรที ต้องหันไปทั้งตัว ไม่งั้นมันจะร้าวระบมไปหมดตั้งแต่หัวถึงไหล่ แถมเวลาปวดระบมนี่ ถึงกับครางฮือเลยทีเดียว

อาการเหล่านี้แหละที่ฝรั่งถึงกับเอามาใช้เปรียบเปรยเป็นคำสำนวนกันเลย  สำนวน Pain the the ass หรือ Pain in the neck ถ้าแปลตรงตัวก็คือ เจ็บตูด หรือเจ็บต้นคอ

สำหรับสำนวน Pain in the ass บางท่านอาจจะกระดากปาก ไม่กล้าพูดเพราะมันไม่สุภาพ ดังนั้นเราสามารถใช้คำว่า rear มาแทนก็ได้  คำว่า rear แปลว่า ด้านหลัง หรือ ก้น (สุภาพกว่าคำว่า ตูด นะ จริงมั้ยครับ :D )  ดังนั้นสำนวนก็จะเป็น Pain the the rear ที่แปลว่า เจ็บด้านหลัง (เจ็บก้น นั่นแหละครับ)  เห็นมั้ยว่ามันสุภาพกว่าคำว่า เจ็บตูด เป็นไหน ๆ

เอาละครับ อธิบายแบบขำขำกันไปแล้ว เรามาดูความหมายที่แท้จริงของสำนวนนี้กันดีกว่า  สำนวนด้านบนทั้งหมดนี้ หมายถึง คน หรือ เหตุการณ์ ที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด รำคาญมาก (และนัยยะของมันคือ ออกอาการรังเกียจ เอือมระอา) และถ้าจะแปลให้เห็นภาพชัดเจนละก็
            ถ้าพูดถึงคน ก็จะแปลว่า คนงี่เง่า (ที่เราเอือมระอา หรือ รังเกียจ)
            ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ ก็จะหมายถึง เหตุการณ์บ้าๆ (ที่ทำให้เราเดือดร้อน รำคาญ)

ครับ คุณผู้อ่านบางคนคงแปลกใจที่วันนี้ผมนำคำสำนวนที่ความหมายดุเดือดมาเล่าให้ฟัง คือมันมีเหตุเกิดขึ้นกับผมน่ะครับ มันเกิดกับอวัยวะส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสำนวนนี้ ซึ่งอาการของมันก็ทำให้ผมเดือดร้อนรำคาญมาก ทำให้ผมนึกถึงสำนวนนี้ขึ้นมา ก็เลยคิดว่าเอาละเขียนเล่าถึงสำนวนนี้ให้คุณผู้อ่านดีกว่า  แต่ห้ามถามนะว่าอวัยวะไหนที่ทำให้ผมเดือดร้อน ผมไม่บอกหรอก ปล่อยให้คุณผู้อ่านไปคิดกันเอาเอง อิอิิอิ

สวัสดีครับ :D

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นาฬิกา: My Watch, My Style! - When East Meets West

รื่องมันเริ่มต้นจากที่ว่า
ในแง่ของตัวเรือนนาฬิกา ผมไปติดใจในรูปแบบของนาฬิกา IWC Mark XVI เข้า wub.gif ด้วยความที่การออกแบบของมันลงตัวมาก คิดอยู่หลายตลบแต่ก็ทำใจซื้อไม่ลง เพราะราคามันไม่เป็นมิตรกับกระเป๋าของผมซะเลย

ส่วนเรื่องสายนาฬิกา ในวันหนึ่ง ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง สายตาผมดันไปสะดุดเข้ากับนาฬิกา Rolex Submariner บนข้อมือของสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง และรู้สึกแปลกตาที่สายของ Submariner เรือนนั้นไม่ใช่สายเหล็ก แต่ทำไมมันถึงได้เข้ากันกับตัวเรือนเป็นปี่เป็นขลุ่ยซะขนาดนั้น ohmy.gif
ความ รู้สึกอยากเป็นเจ้าของก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่สำนึกเดิมก็คอยมาสะกิดเตือนอยู่ข้างหลังว่า พอเพียงหนอ พอเพียงหนอ ผมข่มความอยากได้ไว้ด้วยความยากเย็น แต่รูปลักษณ์ของตัวเรือนนาฬิกา และสายนาฬิกาแบบนั้นประทับอยู่ในใจผมอย่างยากที่จะลบเลือน

ตั้งแต่วันนั้น ผมก็เริ่มรู้แล้วว่า ผมอยากได้นาฬิกาแบบไหนและสายยังไง และที่สำคัญที่สุดคือราคาต้องไม่แพง คุณภาพพอเชื่อถือได้ และบอกเวลาตามหน้าที่ของมันได้อย่างซื่อสัตย์

และ นั่นก็เป็นที่มาของนาฬิกาเรือนนี้ พร้อมกับสายแบบนี้ ที่ทำให้ในที่สุด East ก็มา Meet กับ West  ขอบคุณ Seiko Corporation ที่ผลิตรูปลักษณ์ของตัวเรือนที่ถูกใจผมมาก และขอบคุณผู้ผลิตสายนาโต้ (Nato) แนวสุดเท่ที่ผมได้นำมาประกบเข้ากับ Seiko Military เรือนนี้  ขอบคุณที่ได้ช่วยสานความฝันของผมให้เป็นจริงในวันนี้ครับ

(ขออธิบายนิดนึงนะครับว่า ผมเขียนเรื่องนาฬิกา แล้วไปตั้งชื่อเรื่องว่า "When East Meets West" ได้ยังไง  East ในบทความนี้ผมหมายถึงประเทศหนึ่งทางฝั่งตะวันออก ซึ่งก็คือประเทศญี่ปุ่นที่ผลิตตัวเรือนนาฬิกา Seiko Military เรือนนี้ และ West ผมก็หมายถึงประเทศหนึ่งทางฝั่งตะวันตก ซึ่งก็คือประเทศอังกฤษ ที่เป็นต้นกำเนิดสายนาฬิกานาโต้แบบนี้นั่นเอง)

เอาล่ะครับ มาชมรูปประกอบเนื้อเรื่องกันดีกว่า

When East Meets West”
แถว..วววววว ตรง!
user posted image

ตามระเบียบ..บบบบบบ พัก!
user posted image

อุ้ย! อยู่ๆ ก็ไฟดับขึ้นมาเฉยๆ
แต่ไม่เป็นไร พลทหารอย่างผมยังพอมีไฟอยู่ ครับผม! smile.gif
user posted image

เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว
user posted image

ภารกิจสำหรับวันนี้ คือซ้อมโดดร่ม เพื่อเก็บชั่วโมงฝึก
user posted image

เอ้า พลทหาร มาประจำการ ได้
user posted image

เฮ้ ทำไมยืนประจำการผิดตำแหน่ง ย้ายที่ตั้งด่วน พลทหาร!
รับทราบและปฏิบัติ ครับ..บบผม!
user posted image

ภารกิจสำหรับวันนี้ จบเพียงแค่นี้ เลิกประจำการได้!
หลังภารกิจ พลทหารจึงเอนหลังดูคอนเสิร์ตด้วยความสบายอารมณ์ laugh.gif
user posted image

จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามดูจนจบนะครับ คราวหน้าจะมานำเสนอเรื่องอื่นใหม่ สวัสดีครับ
หมายเหตุ รูปทุกรูปถ่ายด้วยกล้อง Canon DSLR โดยผมเอง
ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้โดยไม่ได้รับคำยินยอมอย่างเป็นทางการจากผมนะครับ

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: bird in the hand is worth two in the bush

หมายเหตุ  สำนวน นั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า idioms
ซึ่งหมายถึง วลี (ถ้อยคำ) ที่นำมาเรียบเรียงให้มีความหมายพิเศษ หรือความหมายเพื่อการเปรียบเทียบ
 
วันนี้สำนวนภาษาอังกฤษกลับมาอีกเช่นเคย หลังจากคราวที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ แล้วแฟนๆ ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ สงสัยจะเขียนยาวไป

Bird in the hand is worth two in the bush เป็นสำนวนที่ถ้าแปลตามภาษาอังกฤษ ก็จะได้เป็นว่า นก(หนึ่งตัว)ที่อยู่ในมือ มีค่ามากกว่านกสองตัวที่อยู่ในพุ่มไม้

สำนวนนี้ ฝรั่งเค้าใช้ในความหมายที่ว่า ของที่อยู่ในมือ นั้นแน่นอนกว่าของที่มีค่ามากกว่าแต่เราอาจจะไปเอามาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเสี่ยงยอมสูญเสียสิ่งที่อยู่ในมือ เพื่อแลกกับสิ่งที่เราอยากจะได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับหรือไม่

ฮั่นแน่ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะทราบแล้วว่า สำนวนนี้ตรงกับคำพังเพยของไทย ที่ว่า กำขี้ดีกว่ากำตด นั่นเองครับ

สวัสดีครับ :)

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์: แก้ปัญหาทาสก์บาร์ หรือหน้าจอเดสก์ทอปของวินโดวส์แฮ้งหรือหายไป

สวัสดีครับ มาพบกันอีกครั้งแล้วนะครับ

ในครั้งนี้ผมจะมาสอนวิธีแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ ที่คุณผู้อ่านอาจต้องเจอ และถ้าเจอ ก็คงหงุดหงิดกับมันไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

 ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่า ทาสก์บาร์ (Taskbar) และ หน้าจอเดสก์ทอป (Desktop) อยู่ตรงไหน สำหรับท่านที่ทราบแล้ว ก็ขอให้อ่านข้ามพารากราฟนี้ไปก่อนเลยก็ได้ครับ หรือถ้าไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจตรงกัน ก็ขอให้อ่านต่อเลยก็แล้วกันนะครับ  ทาสก์บาร์ หมายถึง แถบงานหลักที่อยู่ด้านล่างสุดของ Windows หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ บรรทัดที่มีปุ่ม "start" นั่นแหละครับ  และหน้าจอเดสก์ทอป ก็หมายถึงหน้าจอหลักที่คุณผู้อ่านเห็น หลังจากที่เปิดเครื่องขึ้นมาพร้อมให้คุณใช้งาน หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือหน้าจอที่มีไอคอนโปรแกรมเยอะๆ นั่นแหละครับ

ปัญหานี้ เรามักจะพบบ่อยๆ ใน Windows XP ครับ โดยอาการของมันก็คือ เราใช้งานเครื่องของเรา เปิดโปรแกรมโน้น ปิดโปรแกรมนี้ สลับไปใช้โปรแกรมนั้น  อยู่ดีๆ เราก็คลิ้กทาสก์บาร์ไม่ได้ คือคลิ้กแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับ Windows XP มันไม่ยอมตอบสนองสิ่งที่เราสั่งการ และบางครั้งหน้าจอของโปรแกรมก็เหมือนจะไม่ยอมปิด หรือถ้าปิดโปรแกรมได้ สิ่งที่เราเห็นที่หน้าจอเดสก์ทอปก็คือ ไอคอนโปรแกรมของเราหายไปหมด เหลือไว้แต่หน้าจอเดสก์ทอปที่มีแต่วอลเปเปอร์

สำหรับสาเหตุของปัญหา ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าเป็นเพราะโปรแกรมย่อยที่มีชื่อว่า "explorer.exe" มันพัง หรือมันเพี้ยน มันก็เลยทำงานไม่ถูกต้อง แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เราเห็นกันครับ

เมื่อมาถึงจุดนี้ คุณผู้อ่านไม่ต้องตกใจนะครับ ผมมีวิธีแก้ไขให้แล้ว อ่านต่อไปเลยนะครับ

วิธีแก้ปัญหามีอยู่ 2 วิธีคือ
วิธีที่ 1. ให้ทำการติดตั้งโปรแกรม Windows XP ใหม่
โอ๊ะ ๆ ๆ อย่าเพิ่งโมโหนะครับ ที่ผมแนะนำอย่างนี้  ก็เพราะผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกอย่างนี้นี่นา  เค้าบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  แต่วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีเวลาเหลือเฟือ ในการเตรียมทำการหลายอย่างทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง Windows XP ใหม่ ยกตัวอย่างเช่น แบ๊คอัพข้อมูลสำคัญในเครื่อง และการติดตั้งโปรแกรมทั้งหมดที่ต้องการใหม่อีกครั้ง
โอ้โฮแฮะ ฟังดูเหมือนจะเป็นงานช้าง หลายท่านคงไม่อยากเสียเวลาในการแก้ปัญหามากขนาดนั้นตั้งแต่ที่เจอปัญหาแบบนี้ในครั้งแรกๆ

ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องใช้วิธีที่สองด้านล่างนี้ครับ  วิธีที่สองเป็นการแก้ปัญหาแบบเร็วๆ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแบบถาวร (หมายถึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเดิมได้อีก) แต่มันก็ดีในแง่ที่ว่าหลายท่านยังไม่พร้อมที่จะติดตั้ง Windows XP และโปรแกรมใหม่หมดในเวลานั้น ซึ่งจะกินเวลามาก

วิธีที่ 2. ให้ลบโปรเซส ที่ชื่อว่า "explorer.exe" ใน "Windows Task Manager" ทิ้งซะ แล้วให้สต้าร์ตมันขึ้นมาใหม่
หมายเหตุ ให้ลบโปรเซส นะครับ ไม่ใช่ลบโปรแกรม

เพื่อความง่าย ผมขออธิบายพร้อมภาพประกอบนะครับ
2.1. รูปนี้เป็นตัวอย่างหน้าจอที่เจอปัญหา  คุณผู้อ่านจะเห็นว่าทาสก์บาร์ และไอคอนของโปรแกรมทั้งหมดหายไป ซึ่งในบางกรณี มันก็ไม่ได้หายไปหมดนะครับ บางครั้งเราจะยังมองเห็นทาสก์บาร์และไอคอนบนหน้าจอเดสก์ทอปอยู่ แต่ว่าเราไปคลิ้กอะไรมันไม่ได้ (ออกอาการแฮ้ง  ว่างั้นเถอะ)


2.2. ให้กด 3 ปุ่มมหัศจรรย์เลยครับ (คลิ้กที่ปุ่ม "ctrl", "alt", และ "delete" พร้อมกัน) แล้ว Windows XP ก็จะเปิดหน้าต่าง "Windows Security" ขึ้นมา
ที่หน้าต่างนี้ ให้ท่านคลิ้กที่ปุ่มที่มีชื่อว่า "Task Manager" หรือถ้าใช้เม้าส์ไม่ได้ ก็ให้กดปุ่มลูกศรขวาที่แป้นคีย์บอร์ดก็ได้ครับ กดไปเรื่อยๆ จนกว่ากรอบตัวเลือกจะอยู่ที่ "Task Manager" แล้วก็ให้กดปุ่ม "enter" ที่แป้นคีย์บอร์ด  จากนั้นคุณผู้อ่านก็จะเห็นหน้าต่าง "Windows Task Manager" เหมือนรูปด้านล่างนี้นะครับ


2.3. ลำดับต่อไปก็ให้หาโปรเซสที่ชื่อว่า "explorer.exe" โดยให้คุณผู้อ่านคลิ้กที่ Tab ที่ชื่อว่า "Processes" แล้วให้คลิ้กที่หัวตารางที่ชื่อว่า "Image Name" ซึ่งการคลิ้กตารางนี้จะเป็นการสั่งให้ Windows XP เรียงชื่อโปรเซสทั้งหมดตามตัวอักษรครับ (คลิ้กครั้งแรก จะเรียงจาก a - z  คลิ้กครั้งที่สอง จะเรียงย้อนกลับตั้งแต่ z - a) คุณผู้อ่านจะได้มองหาชื่อโปรเซสที่ต้องการได้ง่าย ๆ

หลังจากคลิ้กเรียงลำดับชื่อโปรเซสแล้ว ก็ให้คุณผู้อ่านมองหาชื่อโปรเซส "explorer.exe" นะครับ เมื่อหาเจอแล้ว ให้ใช้เม้าส์คลิ้กเลือกโปรเซสนี้ แล้วก็ให้เม้าส์คลิ้กที่ปุ่ม "End Process" ที่อยู่มุมล่างขวาของหน้าต่างนี้
จากนั้นจะมีหน้าต่าง "Task Manager Warnings" ปรากฏขึ้นมา ก็ให้คุณผู้อ่านคลิ้ก "Yes" เพื่อยืนยันว่าเราต้องการลบโปรเซสนั้นจริงๆ 
หมายเหตุ บางครั้ง โปรเซสนี้อาจจะหายไปเอง  ถ้าคุณผู้อ่านมั่นใจว่ามองหาดีแล้ว แต่ไม่มีโปรเซสนี้จริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าโปรเซสนี้มันปิดตัวเองไป  ซึ่งก็ไม่เป็นไรครับ ให้คุณผู้อ่านทำตามขั้นตอนต่อไปได้เลย

2.4. ในตอนนี้ ยังอยู่ที่หน้าต่าง "Task Manager" เหมือนเดิมนะครับ  ให้คูณผู้อ่านคลิ้กที่ Tab
"Applications" แล้วก็คลิ้กที่ปุ่ม "New Task..." ที่อยู่มุมล่างขวาสุดของหน้าต่างนี้
จากนั้นจะมีหน้าต่าง "Create New Task" ปรากฏขึ้นมา
ให้คลิ้กที่ช่อง "Open" แล้วป้อนข้อความนี้ลงไป "C:\WINDOWS\explorer.exe" (ไม่ต้องป้อนเครื่องหมายฟันหนูนะครับ) แล้วให้คลิ้ก "Ok"  ดูตาม ตัวอย่างในรูปด้านล่างนี้นะครับ


ซึ่งหลังจากที่คุณผู้อ่านคลิ้ก "Ok" หน้าจอเดสก์ทอป และทาสก์บาร์ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม และรวมทั้งโปรแกรมที่คุณผู้อ่านเปิดค้างไว้ก่อนหน้าที่มันจะแฮ้งค์ ก็ยังกลับมาเหมือนเดิมด้วย

ด้านล่างนี้คือตัวอย่างหน้าจอเดสก์ทอป และทาสก์บาร์ หลังจากที่เราสต้าร์ตโปรเซส "explorer.exe" ขึ้นมาใหม่



เป็นยังไงบ้างครับ อ่านมาเสียยาวเลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในอนาคตกับคุณผู้อ่านอยู่บ้างนะครับ
วันนี้ขอจบบทความเท่านี้ก่อน ขอบคุณและสวัสดีครับ _/\_    :)

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนวนภาษาอังกฤษ: Give him an inch, and he will take a mile

หมายเหตุ  สำนวน นั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า idioms
ซึ่งหมายถึง วลี (ถ้อยคำ) ที่นำมาเรียบเรียงให้มีความหมายพิเศษ หรือความหมายเพื่อการเปรียบเทียบ

สำนวน Give him an inch, and he will take a mile ถ้าแปลตรงตัวก็จะแปลว่า ถ้าเราให้เค้าหนึ่งนิ้ว (นิดนึง) แล้ว เค้าจะเอาเพิ่มเป็นหนึ่งไมล์ (มากขึ้นอีก)

คำหลักๆ ในสำนวนนี้ มีสองคำ คือคำว่า inch และ mile  ซึ่งทั้งสองคำนี้เป็นหน่วยวัดความยาวในระบบอังกฤษ ที่ฝรั่งเค้านิยมใช้กัน   inch ก็คือหน่วยวัดเป็นนิ้ว และ mile ก็คือหน่วยวัด (ระยะทาง) เป็นไมล์

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะร้องอ๋อ กันเป็นทิวแถว เพราะเริ่มจะรู้กันแล้วว่า สำนวนนี้ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ได้คืบ เอาศอก นั่นเอง

สำหรับหน่วยวัดที่เป็น คืบ ศอก วา นี้เป็นหน่วยวัดมาตราไทย แต่คุณผู้อ่านอย่านำหน่วยวัดมาตราไทยนี้ไปสับสนกับ หน่วยวัดความยาวระบบเมตริกที่ประเทศไทยเรานิยมใช้นะครับ ซึ่งหน่วยวัดความยาวระบบเมตริกนี้ก็ได้แก่ มิลลิเมตร เซนติเมตร เมตร และกิโลเมตร นั่นเอง

เอ้า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอบอกความรู้รอบตัวอีกสักนิดก็แล้วกันนะครับ  คุณผู้อ่านทราบมั้ยว่าเรามีหน่วยวัดความเผ็ดของพริกด้วย หน่วยความเผ็ดของพริกคือ สโกวิลล์ ครับ เช่น พริกขี้หนูเผ็ด xxx,xxx สโกวิลล์ เป็นต้น โดยที่ตัวเลขน้อยก็หมายถึงเผ็ดน้อย ตัวเลขมากก็หมายถึงเผ็ดมากครับ

สวัสดีครับ :)